วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

พื้นฐานการถ่ายภาพ

พื้นฐานการถ่ายภาพ

ความเร็วชัตเตอร์ 
   เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น
   ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น
ขนาดรูรับแสง 
   กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก

การเพิ่มแสง 
   การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8
การลดแสง 
   การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6

ที่มา :th.wikibooks.org 

มุมกล้อง

มุมกล้อง

ภาพมุมปกติ (Normal angle shot) 
การตั้งกล้องระดับเดียวกับสิ่งที่ถ่ายหรือระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงความเรียบง่าย คุ้นเคย ใช้กับภาพทั่วๆไปเป็นมุมกล้องที่ใช้มากที่สุด ภาพอยู่ในระดับสายตาหรือบางทีเรียกภาพมุมระดับสายตา

ภาพมุมสูง (high angle shot) 
การตั้งกล้องระดับสูงกว่าวัตถุหรือสุงกว่าสิ่งที่ถ่าย สื่อความหมายตรงข้ามกับภาพมุมต่ำ คือ ไร้พลัง ไร้อำนาจ อ่อนแอ ต่ำต้อย

ภาพมุมต่ำ( Low angle shot) 
การตั้งกล้องระดับต่ำกว่าวัตถุหรือต่ำกว่าสิ่งที่ถ่าย หรือต่ำกว่าระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงพลัง อำนาจความเข้มเเข็ง

มุมวัตถุ (Objective)
มุมของผู้ดู เป็นมุมภาพทั่วๆ ไปเหมือนภาพมุมปกติแทนสายตาของผู้ชมที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่มีส่วนร่วม เช่น ผู้ชมมองเห็นวัตถุ สถานที่ หรือมองเห็นตัวแสดงคุยกันเอง

มุมแทนความรู้สึกผู้แสดง ตรงข้ามกับมุมวัตถุ(Subjective) 
ภาพมุมมองของ ตัวแสดง เช่น ตำรวจเล็งปืนสอดส่ายตามองหาผู้ร้ายที่หลบอยู่ในลานจอดรถ จะเป็นภาพแทนสายตาของตัวแสดง คือภาพรถกวาดไปทีละคัน

มุมข้ามไหล่ (Over Shoulder shot )
การตั้งกล้องไว้ทางซ้ายหรือขวาของคู่สนทนาถ่ายเฉียงผ่านไหล่ของคู่สนทนา เห็นหน้าของคนที่แสดงหรือคนที่กำลังพูดแสดง โดยไม่มีไหล่และบางส่วนของศีรษะคู่สนทนาเป็นฉากหน้า ให้รู้ว่ากำลังคุยกับผู้อื่น และทำให้ภาพมีมิติมีความลึก

ที่มา  : https://nikefitzone.wordpress.com

ประเภทของการถ่ายภาพ

ประเภทของการถ่ายภาพ

การถ่ายภาพทิวทัศน์

     นักถ่ายภาพสมัครเล่นนิยมถ่ายภาพประเภทนี้มาก เพราะสามารถถ่ายได้ง่าย สะดวก ถ่ายได้ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาสผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพร น้ำตก หรือท้องทะเลก็ตาม อย่างน้อยผู้ถ่ายภาพก็สามารถเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกถึงความหลักการถ่ายภาพทิวทัศน์ ควรถ่ายขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใส จะได้ภาพสวยงาม ชัดเจน ถ้าอากาศมืดครึ้มหรือฝนตก ภาพที่ได้จะมีสีทึบ ขาดรายละเอียด การบันทึกความสวยงามของลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติดังกล่าว จะมีคุณค่าและความ สวยงามนั้น ควรต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่ช่วยสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นพยายามเลือกมุมกล้องที่แปลกตา คอยจังหวะให้มีลักษณะแสงสีที่สวยงาม สามารถสร้างบรรยากาศให้ผู้ดูเกิดอารมณ์คล้อยตาม เช่น ภาพที่มีหมอกในฤดูหนาว ควัน ฝนตก หรือพายุ ฯลฯ บรรยากาศ แสงสีในเวลาเช้ามืดก่อนจะสว่าง หรือในตอนเย็น พระอาทิตย์กำลังจะตกจะมีแสงสีที่ให้ความรุนแรงมีสีน้ำเงิน ม่วง เหลือง แสดและแดงสลับกับก้อนเมฆรูปร่างต่าง ๆ ดูสวยงาม การถ่ายภาพทิวทัศน์นิยมเปิด ช่องรับแสงให้แคบเพื่อช่วยให้ภาพมีความคมและชัดลึกตลอด แม้บางครั้งจะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ นอกจากเลนส์ ธรรมดาติดกล้องแล้ว ควรมีเลนส์มุมกว้างและเลนส์ถ่ายภาพไกลที่มีขนาดความยาวโฟกัสประมาณ 105 มม. หรือ 250 มม. เพื่อช่วยให้ได้ภาพที่มีมุมแปลกตา ดีขึ้น ถ้าเป็นการถ่ายภาพขาว – ดำ ควรมีแผ่นกรองแสงสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดงติดไปด้วย เพราะฟิลเตอร์สีดังกล่าวจะช่วยให้ภาพขาว – ดำ มองเห็นก้อนเมฆขาว ตัดกับท้องฟ้า ส่วนการถ่ายภาพสีก็ควรมีแผ่นกรองแสงตัดหมอกหรือแผ่นกรองแสงโพลาไรซ์เป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นกรองแสงสำหรับเปลี่ยนแปลง สีของภาพเพื่อให้ได้ภาพทิวทัศน์ที่มีสีสันสวยงามแปลกตายิ่งขึ้น

การถ่ายภาพบุคคล 
    การถ่ายภาพที่เน้นบุคคล นิยมตั้งรูรับแสงให้กว้างหรือก็คือการตั้ง ต่ำๆ เพื่อให้ฉากหลังเบลอ ที่เรียกกันว่า ฉากหลังละลาย การตั้งรูรับแสงให้กว้างสุดได้เท่าใดขึ้นกับคุณภาพของเลนส์เป็นสำคัญ เลนส์ที่มีราคาสูงมักมี ที่ต่ำกว่านั่นหมายถึงสามารถถ่ายฉากหลังให้ละลายได้มากกว่า เลนส์ที่นิยมได้แก่เลนส์ f 2.8 อีกประการนึงการที่รูรับแสงกว้างจะทำให้ความเร็วชัตเตอร์เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้าตั้งโหมด AUTO หรือโหมด ในกล้องทั่วไป การที่ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มขึ้นทำให้ภาพไม่สั่น เมื่อขยายดูใกล้ๆจะเห็นความคมชัดของภาพ สูงกว่าภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ที่มีราคาต่ำกว่า การถ่ายภาพบุคคล สามารถแบ่งได้เป็น
-การถ่ายรูปเหตุการณ์ เป็นการถ่ายรูปโดยที่ได้มีการจัดรูปแบบก่อน
-การถ่ายรูปจัดรูปแบบ



    การถ่ายภาพแสงน้อย
    ควรใช้แฟลชตามความเหมาะสม เช่น ใช้แฟลชน้อยๆ เบาๆ สำหรับแสงไม่พอเพียงเล็กน้อยหรือต้องการให้เห็นความชัดลึกด้วย หรือไม่ก็กระแทกแฟลชเข้าไปแรงๆ ตรงๆเลย ถ้าต้องการถ่ายแค่จุดใกล้ๆ ไม่เกิน เมตรให้ชัดเพียงแค่จุดนั้น แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลัง จะไม่สามารถมองเห็นเลย
    ในกรณีที่ใช้แฟลชไม่ได้ สามารถกระทำได้ แบ่งออกเป็น ลักษณะคือเคลื่อนไหว กับ อยู่นิ่ง
    หากภาพกำลังเคลื่อนไหวนั้น ให้เพิ่มค่า ISO (ยิ่งสูงมาก ยิ่งสว่างแต่ต้องแลกกับความคมชัด จะน้อยลงมา )ตามด้วยเปิดรูรับแสงให้กว้างที่สุดของเลนส์นั้นๆ (น้อยๆ) แล้วใช้สปีดชัดเตอร์ให้น้อยที่สุด เท่าที่จะถ่ายวัตถุนั้นให้อยู่ในสภาวะหยุดนิ่งได้ ถ้าความไวชัดเตอร์น้อยเกินไป(ไวเกิน) ภาพจะมืด หรือถ้ามากเกินไป(นานเกิน) ภาพจะมีเงาซ้อน ต้องกะให้พอดี แต่ถ้าเป็นวัตถุอยู่นิ่ง ให้ปรับค่า ISO ไปที่กลางๆ ตามด้วยเปิดรูรับแสงให้มากที่สุดเช่นกัน แล้ว ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้มีความนานขึ้น ยิ่งนานมากเท่าไร ภาพก็จะยิ่งสว่างมากเท่านั้น การถ่ายภาพแบบนี้ ควรพึ่งขาตั้งกล้อง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    ถ้าอยากให้ภาพมีความคมชัด ให้ใช้ ISO ค่อนข้างน้อย แต่ภาพจะมืดลงตามไป วิธีแก้คือ ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้นานขึ้นไปอีก
    การถ่ายภาพเคลื่อนไหวกลางคืน ถ่ายให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอแล้ว ถ้าไม่ต้องการรายละเอียด


            th.wikibooks.org

    การถ่ายภาพระยะใกล้

    การถ่ายภาพระยะใกล้


    เน้นรายละเอียด หรือการถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็ก สามารถถ่ายโดยใช้ฟิลเตอร์ Close up ซึ่งมีลักษณะเป็นเลนส์ขยาย จำหน่ายเป็นชุด ๆ ละ 3 อัน สามารถต่อกันได้ แต่ต้องระวังในการถ่ายเพราะ ภาพจะชัดเฉพาะ ตรงกลางภาพ ส่วนด้านขอบของภาพจะไม่ชัดเพราะความโค้งของเลนส์ ยิ่งใช้ฟิลเตอร์หลายตัวยิ่งลดความคมชัดของภาพลง ถ้าต้องการคุณภาพดี ควรใช้เลนส์มาโคร หรือเลนส์ถ่ายใกล้ จะให้รายละเอียดของภาพมากยิ่งขึ้น การถ่ายภาพต้องระวังอย่าให้สั่นไหวเด็ดขาด ควรใช้ขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์เข้าช่วย หรือพยายามใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูง จะช่วยได้มาก

    ที่มา : /th.wikibooks.org

    การถ่ายภาพเพื่อเน้นระยะชัด

    การถ่ายภาพเพื่อเน้นระยะชัด

              ผู้ถ่ายภาพควรต้องทำความเข้าใจในการกำหนดค่าของรูรับแสงของเลนส์ เพื่อให้ได้ภาพตามต้องการ ค่าของรูรับแสง จะมีตั้งแต่กว้างสุด คือ 1.2, 4, 5.6, 8, 11, 16 และ 22 ค่าตัวเลขยิ่งน้อยรูรับแสงยิ่งกว้าง ระยะชัด ของภาพจะสั้นลง หรือที่เรียกว่า ชัดตื้น ค่าของตัวเลขยิ่งมาก รูรับแสงจะแคบลง ยิ่งแคบมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ภาพ เกิด ระยะชัดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น 

    ที่มา : https://th.wikibooks.org/

    การถ่ายภาพย้อนแสง

    การถ่ายภาพย้อนแสง

             การถ่ายภาพย้อนแสงจะไม่เห็นรายละเอียดของวัตถุ ควรถ่ายในช่วงเช้า หรือช่วงเย็น แสงแดดเริ่มอ่อน อย่าวัดแสงกับดวงอาทิตย์ตรง ๆ ควรวัดแสงที่ท้องฟ้า เฉียง 45 องศา กับดวงอาทิตย์ และลดรูรับแสงให้แคบลง 2-4 Stop หรือถ้าเป็นเวลาเย็นมาก สามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าได้ ก็วัดแสงที่ดวงอาทิตย์ได้เลย การถ่ายภาพประเภทนี้ต้องระวังเรื่องฉากหน้าและฉากหลังด้วย เพราะจะทำให้รบกวนภาพทำให้ภาพดูรกตา

    วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

    รสนิยมของผู้ชายเเละผู้หญิง

    10 นิสัยของผู้ชาย ที่ผู้หญิงต้องยอมรับ!
    1. เขาจะโกหกคุณ
    อย่าเพิ่งกรี๊ด ไม่ใช่เรื่องเรื่องโกหกใหญ่โตที่รับไม่ได้หรอก แต่เป็นการโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จริง ๆ ก็มีจุดประสงค์ของมันนะ หลัก ๆ ก็เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง และทำให้เขาไม่ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้าคุณถามเขาว่าชุดนี้สวยไหม หรือเขาไปจ่ายบิลค่าไฟฟ้าหรือยัง หรือเขาอยากเจอพ่อแม่ของคุณหรือเปล่า เขาก็จะตอบรับอย่างหนักแน่นเสมอไป ถึงแม่เขาจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ตามที ทำไมน่ะหรือ อ้าว ก็การตอบอย่างอื่นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้ไม่ใช่หรือล่ะ
    2. เขาจะแอบมองผู้หญิงอื่นเสมอ
    คุณอาจคิดว่าคุณเป็นสาวคนเดียวที่เขามีสายตาไว้จับจ้อง แต่รับประกันได้เลยว่าเขาต้องแอบมองผู้หญิงอื่นอย่างน้อยก็วันละไม่ต่ำกว่า 10 คนหรอก บางคนอาจทำให้เขาอดคิดไม่ได้ด้วยว่า ถ้าได้แอ้มสักทีจะเป็นยังไงบ้างน้า แต่อย่าเพิ่งสติแตกไปเลย ในท้ายที่สุดเขาก็จะตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่เขามีอยู่นั้นดีที่สุดแล้ว และผู้หญิงอื่นก็อาจจะน่าเบื่อได้เช่นกัน
    3. เขาจะพูดถึงคุณเสมอ
    คิดว่าเรื่องตลก ๆ น่าอายระหว่างคุณกับเขาจะรู้กันอยู่แค่สองคนเหรอ? ไม่มีทางอ่ะ ไม่ว่าคุณจะกำชับแค่ไหนว่า อย่าบอกใครเรื่องนี้นะมันก็จะเป็นเรื่องแรกที่เขาเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเวลากินเหล้ากันเสมอ แหม เขาก็แค่อยากเช็คว่าเรื่องแบบนี้มันปกติหรือเปล่า แล้วก็หาเรื่องหัวเราะคุณนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นแหละ
    4. เขาจะไม่มีวันใส่ใจเรื่องแต่งตัวได้มากเท่าคุณ
    ผู้ชายทั้งแท่งส่วนใหญ่แคร์เรื่องแฟชั่นเลยจริง ๆ นะ เขาก็อยากดูดีเหมือนกัน แต่การช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผู้ชายเท่าไหร่ ทำให้เขาพลอยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการแต่งตัวตามไปด้วย ถ้าคุณอยากให้เขาแต่งตัวดีขึ้นก็ได้เลย ซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ที่คุณอยากให้เขาใส่มาให้ได้เลย แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะพยายามแต่งตัวให้ดีขึ้นด้วยตัวเองเพื่อคุณเลย
    5. เขาจะไม่มีวันหยุดดูกีฬา
    ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบดูกีฬา และในขณะที่เขาเข้าใจดีว่าคงได้ดูน้อยลงถ้าเกิดอยู่บ้านเดียวกับคุณแล้ว แต่ก็อย่าได้หวังเชียวว่าเขาจะเลิกโดยเด็ดขาด ถ้าคุณไม่ให้เขาดูในบ้าน เขาก็จะไปหาดูที่อื่น อย่างเช่น ตามผับหรือบาร์ที่มีให้ดู แล้วก็อย่าบ่นล่ะถ้าเขาจะขอครองจอทีวีในช่วงฟุตบอลโลก ก็แหม สี่ปีมีหนเดียวเองนะ
    6. เขาจะไม่พูดถึงความรู้สึกตัวเองแน่นอน
    ในขณะที่ผู้หญิงอยากจะพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง สำหรับผู้ชายแล้ว มันเป็นเรื่องทรมานใจมาก เขาก็รู้ดีอยู่หรอกว่ามันมีประโยชน์ในการเปิดใจกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชอบด้วยนี่นา
    7. เขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องรอคุณแต่งตัวนาน ๆ
    ถึงแม้เขาจะอยู่กับคุณนานแค่ไหน หรืออยู่ในบ้านที่มีพี่น้องผู้หญิงหลายคน และเจอเรื่องนี้มามากแค่ไหน ก็อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะทำใจได้ ต่อให้เขาไม่แสดงออกก็รู้เถอะว่าเขาแอบหงุดหงิด
    8. ทัศนคติเรื่องเซ็กส์ของเขาแตกต่างกับคุณเสมอ
    ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดเรื่องเซ็กส์ในแบบที่แตกต่างกับผู้ชาย ในขณะที่คุณให้คุณค่ากับร่างกายของคุณ และต้องการความรู้สึกสนิทเสน่หากันก่อนที่จะมีเซ็กส์กับใครสักคน ผู้ชายจะสามารถมีเซ็กส์ตอนไหนก็ได้!
    9. เขาจะไม่มีวันสื่อสารได้ดีเท่าคุณ
    ขณะที่ผู้หญิงขยันส่งการ์ดขอบคุณ การ์ดวันเกิด การ์ดปีใหม่ สารพัดการ์ดทุกเทศกาล รวมถึงเขียนอีเมล โทรศัพท์คุยกับคนโน้นคนนี้ ผู้ชายจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกรู้ไว้เถอะ โดยเฉพาะเรื่องเขียนเนี่ยแหละ
    10. เขาจะไม่มีวันบอกว่าคุณอ้วนขึ้น

    ถึงแม้คุณจะไม่คิดรีรอที่จะชี้ไปที่พุงของเขาและบอกว่า ต้องลดแล้วนะแต่ผู้ชายจะไม่มีวันยกเรื่องเซลลูไลต์ที่ต้นขาของคุณขึ้นมาพูดเด็ดขาด เขาไม่ได้แคร์มันขนาดนั้นหรอก และตอนที่ได้เห็นมัน เขาก็ได้แอ้มคุณอยู่ เรื่องอื่นสำคัญกว่าเยอะ

    การเขียนบทละคร

    การเขียนบทหนังสั้น

    1. การ เขียน บท หนังสั้น การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นามาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราว หรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ
    2. Research ต้องยอมรับว่า คนทาหนังสั้น ส่วนใหญ่จะละเลยในขั้นตอนนี้ ซึ่งที่ จริงแล้วเป็นสิ่งสาคัญ หนังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราเกี่ยวข้อง กับอะไรบ้าง? นั่นแหละคือสิ่งที่ตัวละครเกี่ยวข้อง การ research เป็นการหารายละเอียดของตัวละครมาหาใส่ ที่จริงการ research ไม่มี format จุดประสงค์คือเก็บเกี่ยวข้อมูลของตัวละครให้ ได้มากที่สุด สร้างเป็นประวัติของตัวละคร
    3. research 1.ชื่อ 2.อายุ 3.ภูมิลาเนาวิถีชีวิตของคน 4.ระดับการศึกษาจะมีผลต่อวุฒิภาวะของตัวละคร 5.อาชีพเป็นปัจจัยที่สร้างตัวตนของตัวละครที่ชัดเจน 6.ฐานะการเงินเป็นพื้นฐานชีวิตของตัวละคร 7.กลุ่มทางสังคม 8.ตัวละครพิเศษ 9.ความต้องการในชีวิต
    4. Theme แก่น ใจความสาคัญ แนวคิดหลัก สาร ประเด็น ฯ หนังสั้นที่ได้ผลดี ควรจะมี theme เพียงหนึ่งเดียว คือมีประเด็นหลัก ที่ต้องการจะสื่อสารเพียงหนึ่งสิ่ง การเขียน theme ไม่ได้ต้องใช้คาสวยหรู ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ ยาก ไม่ต้องเป็นปรัชญา ไม่จาเป็นต้องเป็นแนวคิดสากล เป็นแนวคิดส่วนตัว ก็ได้ เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อในแนวคิดนั้นๆ และมีมุมมองที่จะนาเสนอ
    5. Theme รูปแบบ หรือ format ของ theme มักจะเป็น ประโยคสั้นๆที่มีความชัดเจน theme เป็นประเด็นหรือแนวคิดสาคัญ ที่คนเขียนบทต้องการจะบอก โดยหาสถานการณ์ต่างๆมารองthemeนั้นๆ บางคนก็เอามาจากสานวน สุภาษิต คาพังเพย เช่น กล้านักมักบิ่น ฆ่าควาย อย่าเสียดายพริก ปล่อยเสือเข้าป่า จากคาคม เช่น “Praise the bridge that carried you over.” – George Colman “Well done is better than well said.” - Ben Franklin -
    6. Plot การเขียนพล็อตเปรียบเสมือนการทาแผนที่ แผนผัง การทาพล็อตหนังสั้น มี 3 จุด (Acts) คือ 1.จุดเริ่มต้น อย่างน้อยควรรู้ว่าตัวละครคือใคร 2.จุดหักเห คือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นเจอ ในหนังสั้นมักจะเป็น สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนนัก เป็นปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของตัวละคร 3.จุดจบ คือสถานการณ์ที่เป็นจุดเข้มข้นสุดของเรื่อง ก่อนที่จะคลี่คลาย หรือจบลง
    7. Synopsis Synopsis ว่า เรื่องย่อ รูปแบบการเขียน synopsis ของหนังสั้น มักจะเป็นความเรียง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างย่อ มีความยาวประมาณ 5-6 บรรทัด เล่าตัวละครและเหตุการณ์เพื่อสรุปว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ฯ ด้วยมุม Objective ของคนเขียนบทเอง คล้ายๆกับการเขียน เรื่องย่อบนปกหลังกล่อง vcd แต่อย่างที่บอก ไม่ต้องกั๊กตอนจบ ในขั้นนี้ แนะนาให้เขียนเรื่องให้ได้ 3 ย่อหน้า (เหมือนเขียนเรียงความ มีคานา เนื้อเรื่อง สรุป) โดยยึดจากหลักการเขียนplot อาจจะเป็น ย่อหน้าของจุดเริ่มต้น 2 บรรทัด ย่อหน้าของจุดหักเห 3 บรรทัดและ ย่อหน้าของจุดจบ 1 บรรทัด
    8. Treatment ในการเขียนบท หมายถึงโครงเรื่องขยาย คือมีการเขียนคาอธิบาย ขยายเนื้อเรื่องชัดเจนมากขึ้น เหมือนรูปแบบของนวนิยายหรือเรื่องสั้น มีการ บรรยายรายละเอียดต่างๆที่จาเป็นต่อการเล่าเรื่อง เช่น ชื่อตัวละคร ลักษณะ ตัวละคร สถานการณ์ต่างๆ สถานที่ วัน เวลา เหตุผลของตัวละคร ฯ แต่ยังไม่มี บทสนทนา (นอกจากว่า จะเป็นประโยคสาคัญ) treatment หนังสั้น มักมีความยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นบทที่นิยมมอบให้คนอื่นอ่าน เพราะจะมีรายละเอียดที่มากพอจะ เล่าเรื่องได้สมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมักตั้งชื่อตัวละครไปด้วย อย่างที่เคย กล่าวมาว่า ชื่อตัวละครของหนังสั้นที่ดี ควรจะสื่อถึง character ด้วย
    9.. Scenario Scenario เป็นขั้นตอนต่อมาจาก treatment มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งฉากของ treatment ให้เห็นเป็น scene ชัดเจน และนิยมเขียนเป็นข้อๆว่า ใน scene เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อ คานวณความยาวของแต่ละฉาก และคะเนได้ว่าทั้งเรื่องจะยาวเท่าไหร่ สานวนการเขียนจะรวบรัด และใช้ภาษาอธิบายเหตุการณ์ การแสดง มากกว่าอธิบายความคิด หรืออารมณ์ตัวละคร ในขั้นการเขียน scenario จะมีการเขียนหัวฉาก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
    10.Scenario 1.Scene Number เขียนว่า ฉาก1 หรือ Scene1 หรือ run เป็นตัวอักษร ตามแต่ถนัด
    11. Scenario 2. ระบุว่าเป็นฉากภายนอกหรือภายใน ฉากภายนอก หมายถึง ฉากที่อยู่กลางแจ้ง ภายนอกจากอาคารหรือสิ่ง ปกคลุม นิยมเขียนว่า ภายนอกหรือ Exterior หรือ Ext. ฉากภายใน หมายถึง ฉากที่มีฝาผนังอย่างน้อย 1 ด้าน ภายใน อาคาร อุโมงค์ใต้ดิน ในรถ ในบ้าน นิยมเขียนว่า ภายในหรือ Interior หรือ Int.
    12. Scenario 3. ชื่อฉาก หมายถึง ชื่อสถานที่นั้นๆ เช่น ห้องฉุกเฉิน สถานีตารวจ ออฟฟิศฯ (ให้เขียนชื่อสถานที่ตามเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ชื่อ Location จริง)
    13. Scenario 4. เวลา ให้เขียนเวลาตามเนื้อเรื่อง นิยมเขียน กลางวัน, กลางคืน หรือ Day, Night แต่ถ้าจะระบุช่วงเวลาละเอียดกว่านั้นก็ได้ เช่น เช้าตรู่, เที่ยง, โพล้เพล้
    14. Paradigm เป็นขั้นตอนที่สาคัญขั้นตอนหนึ่งที่ช่วยสรุปจังหวะของการเขียนบท ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ถอยออกมา แล้วมองเรื่องทั้งเรื่อง เป็นจังหวะหรือ step ของการดาเนินเรื่อง ขั้นตอนนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์และตีความ คุณสมบัติหรือหน้าที่ ของแต่ละฉาก ว่าอะไรขาด อะไรเกิน การเล่าเรื่อง เล่าอารมณ์ มันเป็ยังไง เราต้องสรุปได้ว่า ฉากนั้นๆ มีประโยชน์อย่างไร จะได้แก้ไขก่อนจะเข้าสู่ Screenplay
    15. Screenplay คือบทภาพยนตร์ที่ เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมี ขั้นตอน ประกอบด้วย ตัวละครหลัก บทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ ฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกากับช็อต และโดยหลักทั่วไป บทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
    16. Shooting script เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทาจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตาแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเลขลาดับช็อตกากับไว้ โดยเรียงตามลาดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
    17. Storyboard คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือ การ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์ มีคาอธิบายภาพ ระบุเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสาหรับการถ่ายทา หรือใช้เป็นวิธีการ คาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทาว่า เมื่อถ่าย ทาสาเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
    18. Storyboard Walt Disney นามาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัท เป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้า ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลาดับช็อตกากับไว้ มีคาบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย

    19. The End.


    จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน

    จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน
          
                         ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่ผู้ชายก็ต้องอ่านด้วยนะ อย่าอ่านข้ามเลยไป เพราะในสัมพันธ์ภาพของคนเรานั้น ชายหญิงแตกต่างกันมาก ทั้งในสรีระร่างกาย ความรู้สึกนึกคิด รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกมา ดังนั้นการเรียนรู้ผู้ชายเข้าใจผู้หญิง จึงเป็นรากฐานของการมีสัมพันธ์ภาพที่ดี
                          
                        จอห์นเกรย์ นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงกับเขียนหนังสือที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คือผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์นั่นแหละ ในสัมพันธภาพของชายหญิงนั้น ที่เป็นปัญหาคาใจเป็นประจำก็คือ ผู้ชายชอบทำ ไม่ชอบพูด ผู้หญิงชอบพูดชอบบ่น แต่ผู้ชายกลับไม่ตอบโต้เลย ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกัน และเชื่อไหมว่า ปัญหาของสัมพันธ์ภาพนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากการไม่พูดจากันนั่นแหละ
    ลองมา ปุจฉา วิสัชนา ความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชายกันก่อนจะดีไหม
    ผู้หญิงนั้น สมองซีกขวาพัฒนาการมาดี เธอก็เลยมีจินตนาการค่อนข้างสูงและชอบมองดูทุกเรื่องราวในรายละเอียด ส่วนผู้ชาย สมองซีกซ้ายได้รับการพัฒนาการดีกว่า ก็เลยคิดแต่หลักการ พูดแต่หลักการ แต่พอลงในรายละเอียดแล้วก็ไม่ค่อยรู้อะไร
                       เลยดูเหมือนว่า ผู้ชายเป็นคนมองอะไรง่ายๆ ไม่ลึกซึ้งและละเอียดรอบคอบเหมือนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงต้องพยายามบ่นว่า ตักเตือน ดุด่าว่ากล่าวผู้ชายของเธอเป็นประจำ เหมือนหนึ่งว่า เขาเป็นลูกคนโต... ด้วยความหวังดี
    แต่โชคร้าย แทนที่เขาจะรับรู้ความหวังดีอันนั้น เขากลับเครียด เก็บกดไว้เป็นประจำ นานๆก็ระเบิดออกมาสักครั้ง และทุกครั้งเรื่องราวก็มักจะบานปลาย เนื่องจากผู้หญิงคิดว่าตัวเองทำด้วยความหวังดี แต่พ่อเจ้าประคุณกลับไม่พอใจ ผู้หญิงที่ชอบบ่นสามีทั้งหลาย ลองนึกถึงเวลาที่ตัวเองโดนมารดาอายุมากๆ บ่นดูบ้าง แล้วจะรู้ว่า... อีกฝ่ายเขารู้สึกอย่างไร ผู้ชายหลายคนถึงกับสะใจอยู่เงียบๆ เวลาที่ภรรยาโดนแม่ยายด่า!!! เอาเป็นว่า ถ้าผู้หญิงจะเริ่มพูดจาในทางสร้างสรรค์ ใช้มธุรสวาจากล่อมเกลาจิตใจของผู้ชายแล้ว ผลที่ได้รับจะมากมายมหาศาล ใครๆก็รู้ว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ทั้งสิ้น เพราะผู้ชายทั้งหลายมักจะเป็นลูกไก่อยู่ในกำมืออยู่แล้ว แค่พูดหวานๆ ให้สบายใจเท่านั้น อยากได้อะไรบอกไป รับรองได้ว่า...ได้เด็ดขาด ...นอกจากจะเลือกผู้ชายผิดมาตั้งแต่ตอนแรกๆ แบบนั้น ต้องรีบถีบส่งให้ไปไกลๆ แต่ไวๆ เพราะเก็บเอาไว้ใกล้ตัว ก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเป็นพวก เอ็น พี แอล หรือหนี้ที่ไม่ก่อประโยชน์นั่นเอง จะรักใครเขาสักคน มองเขาให้นานๆ หน่อย ศึกษาให้ดีเสียก่อน ว่าใช่แน่หรือคนนี้น่ะ ที่จะมาอยู่ด้วยตลอดไป
    ดี๋ยวนี้ผู้หญิงไม่ค่อยได้ใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ในการเลือกคู่ครอง มักจะใช้อารมณ์นำหน้า ไม่ค่อยสนใจเหตุผล เป็นประเภท ความรักทำให้ตาบอดจริงๆ
    พอเจอชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกใจปุ๊ป ก็บอกเลยว่า ใช่แน่...คนนี้แหละดวงใจของฉัน คบกันผ่านไป 1 เดือน บอกว่า ใช่เลย ...คนนี้แหละที่เราต้องร่วมรักด้วย เพราะเขารักเรา ก็เลยเสร็จเขาเรียบร้อยไป หลายต่อหลายคนจบลงแค่นี้...เพราะเขาตีจาก เนื่องจากความคิดของผู้ชายนั้นเหมือนกันทุกคน ว่าของอะไรได้มาง่ายๆ ย่อมจะไม่มีคุณค่า หรือไม่ก็คิดว่า ถ้ายอมง่ายๆ แบบนี้แปลว่าคงจะผ่านมือชายมามากแล้ว ทิ้งเธอไปอีกคนก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก ในเมื่อเธออุทิศบางส่วนของร่างกายเธอให้เป็นของสาธารณแล้วนี่นา จำไว้นะ สาวเอย...จะบอกให้ จะเสียสาวทั้งที ต้องเรียนรู้ว่าจะเสียอย่างไร จึงจะมีคุณค่า เพราะขืนไปเสียสาวก่อนเวลา คุณค่ามันจะหายไป แถมหลายต่อหลายราย เสียสาวแล้ว ยังเสียใจอีกด้วย... ตอนที่เกิดพยานรักแล้วเขาทิ้งไป ประเภท ใช่แน่...ใช่เลย ขอเสียทีเถิด อย่ารีบทำ เพราะบางคนพออยู่กันไปสัก 1 ปี ก็เริ่มถามตัวเองว่า ใช่แน่หรือ
    2 ปีผ่านไป บอกเลยว่า...คงไม่ใช่มั๊ง
    3 ปี แน่ใจเลย ที่จะบอกว่า...ไม่ใช่แน่ๆ
    การจะรักใครสักคนหนึ่ง ควรจะต้องเริ่มถามตัวเองว่า ใช่แน่หรือ... อาจจะใช่นะ ถามแบบนี้สัก 1-2 ปี แล้วค่อยบอกว่า คงจะใช่ อีก 1 ปี ต่อมาค่อยบอกว่า ใช่แน่ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะเจอคนที่...รักแท้ การหาคู่ครอง จึงควรจะหา คู่บุญ...ไม่ใช่คู่กรรม
    จินตนาการนั้น เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับผู้หญิง เพราะในจินตนาการนั้น ผู้หญิงสามารถที่จะฝันถึงเรื่องราวบางอย่าง ที่ไม่สามารถจะเป็นจริงได้ ในชีวิตประจำวัน และเป็นประโยชน์กับผู้หญิงทุกวัย ไม่ว่าจะโสด แต่งงาน หรือเป็นม่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เชื่อไหมว่า แค่ผู้หญิงจินตนาการถึงชายคนที่เธอรัก หรือชื่นชอบแล้ว ในบรรยากาศที่ดีๆ เธอสามารถที่จะจินตนาการต่อไปจนถึงบทโรแมนติก บทรักบทพิศวาสของเธอกับเขา... จนเธอสามารถสุขสมด้วยตนเอง โดยไม่ต้องขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายเลย

    ผู้หญิงนั้น อยู่คนเดียวก็เสียวได้ ด้วยจินตนาการที่เพริศแพร้วของเธอ และเป็นสิ่งที่ผู้ชายทั้งหลายทำไม่ได้ ผู้หญิงหลายต่อหลายคน จึงมีความสุขจากการช่วยตัวเองมากกว่าการร่วมรักเพราะในจินตนาการของเธอนั้น เธอสามารถที่จะร่วมรักในรูปแบบที่เธอชื่นชอบได้ ต่างจากการร่วมรักกับผู้ชายที่มักจะไม่ค่อยเป็นเหมือนดังที่ฝันและตั้งใจไว้ ...และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีความสุขในเวลาที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งทำรักให้ เพราะรู้ใจกันนั่นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้หญิงที่มีชายคนรักไว้ร่วมรักด้วยจะไม่สามารถใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ เพราะในระหว่างที่เขาของเธอคนนั้นกำลังปฏิบัติการอันสุนทรีย์อยู่ เธอก็สามารถที่จะหลับตาลง และใช้จินตนาการของเธอ จูงเธอขึ้นสวรรค์ได้เช่นกัน ...นี่ จึงเป็นจุดเดินของผู้หญิงในเรื่องราวของจินตนาการ ผู้หญิงส่วนใหญ่ จึงมักจะเสร็จสมอารมณ์หมายในเรื่องราวของบทพิศวาสกับผู้ชายของเธอ ถ้าเธอเป็นฝ่ายกระทำและอยู่ด้านบน เพราะในท่วงท่าลีลารักดังกล่าว เธอสามารถที่จะควบคุมบงการการสัมผัสเสียดสี ที่ถ่ายทอดความรักให้แก่กันโดยอาศัย 'ส่วนนั้น' เป็นสื่อกลาง เช่นเดียวกันในท่วงท่าดังกล่าว จุดปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่า 'จีสปอท' ยังได้รับการกระตุ้นเสียดสีอย่างเป็นจังหวะจะโคนด้วย ความเร็วช้า นุ่มนวล หรือหนักหน่วงที่เธอเป็นคนควบคุม ในระหว่างที่เธอกำลังเป็นผู้ปฏิบัติการอยู่นั้น เธอยังสามารถที่จะใช้จินตนาการของเธอให้เป็นประโยชน์ในการนำทางเธอไปสู่แดนสุขาวดีที่เธอหวังและตั้งใจไว้ ...จนสุขสมร่วมกับคนที่เธอรัก!!









    ความเเตกต่างระห่างผู้ชายเเละผู้หญิง

    "ความแตกต่างที่คุณควรรู้"
    แม้จะเชื่อกันว่า... พระเจ้าสร้างชายและหญิงให้เกิดมาคู่กัน แต่ก็มีผู้ชายจำนวนมากออกมายอมรับว่าบางครั้งผู้หญิงก็ดูน่าเบื่อและไร้เหตุผลจนไม่น่าเข้าใกล้" ในขณะที่ผู้หญิงโต้กลับว่า "บางครั้งผู้ชายก็งี่เง่าและเฮงซวยที่สุด" ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครดีใครเลว แต่อยู่ที่ความแตกต่างกันในทุก ๆ เรื่องของชายและหญิงต่างหากที่เป็นต้นเหตุของความไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งชายและหญิงไม่มีวันที่จะเหมือนกันได้ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อการอยู่ร่วมกันได้ย่างมีความสุข นั่นก็คือ "การทำความเข้าใจจิตใจของแต่ละฝ่ายนั่นเอง"


    1. ผู้ชายรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น ขณะที่ผู้หญิงรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองน่าทะนุถนอม
    2. เมื่อเกิดปัญหา ผู้ชายจะเก็บตัวเพื่อคิดหาทางออก ผู้หญิงจะหาใครซักคนที่ไว้ใจ และพร่ำพรรณนาปัญหาให้ฟัง
    3. จากสถิติพบว่า ผู้ชายมีอายุสั้นกว่าผู้หญิง เพราะผู้ชายใจร้อนและคึกคะนองมากกว่า
    4. ผู้ชายมุ่งความต้องการไปที่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ความสำเร็จของผู้หญิงคือ การมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข
    5. เมือทำอะไรซักอย่างไม่ได้ ผู้หญิงจะขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้ชายจะไม่พยามยามขอความช่วยเหลือ เพราะคิดว่านั่นคือการแสดงความอ่อนแอของตัวเอ
    6. ผู้หญิงมีสมองเล็กกว่าผู้ชาย แต่สมองทั้งสองซีกกลับทำงานสัมพันธ์กันมากกว่าผู้ชาย
    7. ผู้ชายจะเจริญเติบโตและก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้ช้ากว่าผู้หญิง
    8. ผู้ชายถูกกระต้นความต้องการทางเพศโดยสายตา เช่น ดูภาพโป้ ดูหนังโป้ แต่ผู้หญิงถูกกระตุ้นความต้องการทางเพศ โดยการสัมผัสอันนุ่มนวล
    9. เมื่อเล่นเกม ๆ หนึ่ง ผู้หญิงต้องการเอาชนะโดยที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องแพ้ก็ได้ (การเสมอ) แต่ผู้ชายต้องการเอาชนะ และอีกฝ่ายต้องเป็นผู้แพ้
    10. เมื่อผู้ชายตกหลุมรักใครซักคน เค้าจะถูกกระตุ้นให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าจีบผู้หญิงคนนั้นไม่สำเร็จ เค้าจะกลับไปเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม
    11. ผู้หญิงเมาง่ายกว่าผู้ชาย
    12. ผู้ชายจะจดจำเส้นทาง และอ่านแผนที่ได้เก่งกว่าผู้หญิง
    13. ผู้หญิงกลัวที่จะเป็นฝ่ายรับ ในขณะที่ผู้ชายกลัวที่จะเป็นฝ่ายให้
    14. ผู้หญิงพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายทำสำเร็จมากกว่าผู้หญิง
    15. ผู้หญิงจะเรียนภาษาได้ดีกว่า และมีความสามารถในการสื่อสารทางการพูดมากกว่าผู้ชาย
    16. ผู้ชายจะคิดให้ตกซะก่อนจึงค่อยพูดออกมา แต่ผู้หญิงมักจะคิดออกมาเป็นเสียงดัง ๆ ให้คนอื่นได้ยินด้วย
    17. ผู้หญิงจะไม่ทิ้งเพื่อนหากเพื่อนกำลังมีปัญหา ในขณะที่ผู้ชายจะทิ้งให้เพื่อนแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
    18. เมื่อผู้หญิงรู้สึกดี เธอจะสามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นมากมาย แต่เมื่อเธอรู้สึกแย่ สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือความรักจากคนรอบข้าง
    19. นิสัยผู้ชายเหมือนหนังสติ๊ก: ในช่วงเวลาที่คบกัน ผู้ชายจะต้องการทั้งความผูกพันใกล้ชิด และความอิสระ แต่ผู้หญิงจะรู้สึกไม่ดีหากผู้ชายกำลังถอยออกไปหาอิสระ และพยายามดึงเค้ากลับมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เค้าถอยห่างมากขึ้น ทางที่ดีควรอยู่นิ่ง ๆ เมื่อถึงเวลาหนึ่งเค้าจะกลับมาเอง
    20. ทั้งที่ผู้ชายและผู้หญิงพูดคำ ๆ เดียวกัน แต่ความหมายของคำ ๆ นั้น กลับไม่เหมือนกัน เช่น เมื่อผู้หญิงพูดว่า "เราเลิกกันเถอะ" แปลว่าฉันต้องการให้คุณเห็นความสำคัญของฉันมากกว่านี้ เมื่อผู้ชายพูดว่า "เราเลิกกันเถอะ" แปลว่าผมไม่ขอทนคุณอีกต่อไป เพราะผมเจอคนใหม่แล้ว
    21. ผู้ชายรับรู้รสชาติเผ็ดและหวานได้น้อยกว่าผู้หญิง
    22. ผู้ชายใช้เวลาในการไปถึงจุดสุดยอดน้อยกว่าผู้หญิง
    23. ผู้หญิงมีกลิ่นที่รักแร้แรงกว่าผู้ชาย ดังนั้นโรลออนสำหรับผู้หญิงจึงขายดีกว่าผู้ชาย
    24. ผู้หญิงท้องผูกมากกว่าผู้ชาย เพราะระบบทางเดินอาหารของผู้หญิงทำงานได้ช้ากว่า
    25. หากผู้หญิงต้องการอะไรจากผู้ชาย ผู้หญิงจำเป็นต้องบอกเพราะผู้ชายมักจะทึกทักเอาว่า "เค้าทำ
    ดีแล้ว"


    วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

    ระบบสื่อสารข้อมูลสําหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

                    ในปัจจุบันการสื่อสารข้อมูล มีบทบาทและความสำคัญที่ได้พัฒนาเผยแพร่ข้อมูลไปยังผู้ใช้งานโดยส่งผ่านสื่อกลางต่างๆ ซึ่งสื่อกลางแต่ละแบบ ก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป
    ๒.๑ สื่อกลางการสื่อสารข้อมูล
                    การสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จะมีสื่อกลางสำหรับเชื่อมโยงสถานีหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นตัวกลางให้ผู้ส่งข้อมูล ทำการส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้ สื่อกลางการสื่อสารข้อมูลแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังต่อไปนี้
                    ๑) การสื่อสารทางกายภาพ (physical media) เป็นการเชื่อมโยงสถานีระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูลโดยอาศัยสายสัญญาณเป็นสื่อกลางในระบบสื่อสารข้อมูล ตัวอย่างสายสัญญาณมีดังนี้

                                    ๑.๑) สายตีเกลียวคู่ (twisted pair cable หรือ TP) ประกอบด้วยลวดทองแดงที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติกจำนวน ๔ คู่ แต่ละคู่พันเป็นเกลียว ซึ่ง ๒ คู่จะใช้สำหรับช่องทางการสื่อสาร ๑ ช่องทาง สายตีเกลียวคู่เป็นตัวกลางที่เป็นมาตรฐานใช้ส่งสัญญาณเสียงและข้อมูลได้ในระยะเวลานาน สายสัญญาณประเภทนี้นิยมใช้เป็นสายโทรศัพท์ (telephone line) เพื่อส่งสัญญาณโ

     ๑.๒) สายโคแอกเชียล (coaxial cable) ประกอบด้วยสายทองแดงเพียงเส้นเดียวเป็นแกนกลาง หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าสายตีเกลียวคู่ประมาณ  ๘๐ เท่า ส่วนใหญ่จะใช้ในการส่งสัญญาณโทร
    ๑.๓) สายใยแก้วนำแสง (fiberotic cable) ประกอบด้วยเส้นใยแก้วขนาดเล็กซึ่งหุ้มด้วยฉนวนหลายชั้นโดยกรส่งข้อมูลใช้หลักการสะท้อนของแสงผ่านหลอดแก้วขนาดเล็ก ทำให้สามารถส่งผ่านข้อมูลได้เร็วถึง ๒๖,๐๐๐ เท่าของสายตีเกลียวคู่ มีน้ำหนักเบาและมีความน่าเชื่อถือในการส่งข้อมูลมากกว่าสายโคแอกเชียล อีกทั้งการส่งข้อมูลยังใช้ลำแสงที่มีความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วของแสง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้จำนวนมากเป็นระยะทางไกลด้วยความเร็วสูง


     ๒) สื่อกลางไร้สาย (wireless media) เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่ต้องใช้สายสัญญาณเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูล แต่จะใช้อากาศเป็นสื่อกลาง ตัวอย่างสื่อกลางไร้สาย มีดังนี้




                                  
    ๒.๑) อินฟราเรด (infrared)  เป็นการสื่อสารโดยใช้คลื่นแลงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถส่งข้อมูลระยะไม่ไกล การส่งข้อมูลด้วยคลื่นอินฟราเรดต้องส่งในแนวเส้นตรง และไม่สามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางที่มีความหนาได้ นิยมใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์หรือเครื่องพีดีเอไปยังคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เป็นต้น
                                    ๒.๒) คลื่นวิทยุ(radio wave) เป็นการสื่อสารโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง อุปกรณ์พิเศษนี้เรียกว่า เครื่องรับส่ง (transceiver) ทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณวิทยุจากอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออุปกรณ์ที่สามารถเปิดเข้าถึงเว็บไซต์ได้ เป็นต้น ผู้ใช้บางรายใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในการเชื่อมต่อเพื่อเข้าใช้อินเตอร์เน็ต ปัจจุบันมีเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้คลื่นวิทยุ คือ บลูทูธ (bluetooth) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณโดยใช้คลื่นวิทยุระยะสั้น  เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารในระยะไม่เกิน ๓๓ ฟุต การส่งสัญญาณสามารถส่งผ่านสิ่งกีดขวางได้ ทำให้เทคโนโลยีบลูทูธได้รับความนิยมสูง จึงมีการนำมาบรรจุไว้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องพีดีเอ โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดิจิทัล เป็นต้น
                                    ๒.๓) ไมโครเวฟ(microwave) เป็นการสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุความเร็วสูง สามารถส่งสัญญาณเป็นทอดๆ จาดสถานีหนึ่งไปยังสถานีหนึ่งในแนวเส้นตรง ไม่สามารถโค้งหรือหักเลี้ยวได้ สามารถรับส่งได้ในระยะทางใกล้ๆ นิยมใช้ในการสื่อสารระหว่างอาคารที่อยู่ในเมืองเดียวกัน หรือวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย สำหรับการสื่อสารระยะไกลๆ ต้องใช้สถานีรับและขยายสัญญาณ ซึ่งมีลักษณะเป็นจานหรือเสาอากาศ เพื่อรับส่งสัญญาณเป็นทอดๆ โดยติดตั้งบนพื้นที่สูงๆ เช่น ยอดเขา หอคอย ตึก เป็นต้น โดยปกติความถี่ไมโครเวฟอยู่ในช่วงคลื่นอินฟราเรด ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ในด้านโทรคมนาคมและการทำอาหาร
                                    ๒.๔) ดาวเทียม (satellite) เป็นการสื่อสารด้วยคลื่นไมโครเวฟ แต่เนื่องจากเป็นคลื่นที่เดินทางในแนวเส้นตรง ทำให้พื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหรือตึกสูงมีผลต่อการบดบังคลื่น  จึงมีการพัฒนาดาวเทียมให้เป็นสถานีไมโครเวฟที่ลอยอยู่เหนือผิวโลกทำหน้าที่เป็นสถานีส่งและรับข้อมูล ถ้าเป็นลักษณะการส่งจากภาคพื้นดินไปยังดาวเทียม เรียกว่า การเชื่อมโยงขึ้นหรืออัปลิงค์ (uplink) ส่วนการรับข้อมูลจาดาวเทียมสู่ภาคพื้นดิน เรียกว่า การเชื่อโยงลงหรือดาวน์ลิงค์ (downlink) ทั้งนี้มีระบบเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยมและอาศัยการทำงานของดาวเทียมเป็นหลัก คือ ระบบจีพีเอส (Global Positioning System : GPS) ที่ช่วยตรวจสอบตำแหน่งบนผิวโลก เช่น การติดตั้งอุปกรณ์จีพีเอสไว้ในรถและทำงานร่วมกับแผนที่ ผู้ใช้สามารถขับรถไปตามระบบนำทางได้ นอกจากนี้ยังได้นำอุปกรณ์จีพีเอสมาติดตั้งในอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่อีกด้วย  

    ระบบเครือข่ายไร้สาย
                    ระบบเครือข่ายไร้สาย (wireless local area network : WLAN) เป็นระบบการสื่อสารที่มีความคล่องตัวมาก ซึ่งอาจนำมาใช้ทดแทนหรือเพิ่มเติมกับระบบเครือข่ายแลนใช้สายแบบดั้งเดิม โดยใช้การส่งความถี่คลื่นวิทยุ และคลื่นอินฟราเรด ในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ผ่านอากาศทะลุกำแพง เพดาน หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีการเดินสาย นอกจากนั้นระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอย่างเหมือนกับระบบLAN ที่สำคัญคือ ไม่ต้องใช้สาย ทำให้การเคลื่อนย้ายใช้งานทำได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบ LAN แบบใช้สาย ที่ต้องใช้เวลาและการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของระบบเครือข่ายไร้สาย มีดังนี้
    ๑.มีความคล่องตัวสูง ไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่ไปที่ไหนหรือเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปตำแหน่งใด ยังมีการเชื่อต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะการส่งข้อมูล
    ๒.สามารถติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องเสียเวลาติดตั้งสายเคเบิล และไม่รกรุงรัง
    ๓.สามารถขยายระบบเครือข่ายได้ง่าย เพราะเพียงแค่มี บัตรพีซี (PC card) มาต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก็เข้าสู่เครือข่ายได้ทันที
    ๔.ลดค่าใช้จ่ายโดยรวม ที่ผู้ลงทุนต้องลงทุน ซึ่งมีราคาสูง เพราะในระยะยาวแล้ว ระบบเครือข่ายไร้สายไม่จำเป็นต้องเสียค่าบำรุงรักษา และการขยายเครือข่ายก็ลงทุนน้อยกว่าเดิมหลายเท่า เพราะติดตั้งง่าย
    ๕.สามารถปรับขนาดและความเหมาะสมได้ง่าย เพราะสามารถโยกย้ายตำแหน่งการใช้งานได้ โดยเฉพาะระบบที่มีการเชื่อมระหว่างจุดต่อจุด เช่น ระหว่างตึก ระหว่างอาคาร ระหว่างที่พัก เป็นต้น ไม่ต้องเสียเวลาในเรื่องการเดินสายเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณ


    วิธีการถ่ายโอนข้อมูลเป็นวิธีการส่งสัญญาณออกจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลและการรับสัญญาณด้วยอุปกรณ์รับข้อมูล  วิธีการถ่ายโอนข้อมูล มี ๒ วิธี ดังนี้
                    ๑) การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน  เป็นการส่งข้อมูลออกทีละ ๑ ไบต์ หรือ ๘ บิต จากอุปกรณ์ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์รับข้อมูล ดังนั้น สื่อกลางหรือสายสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ส่งข้อมูลและอุปกรณ์รับข้อมูล จึงต้องมีช่องทาวให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย ๘ ช่องทางขนานกัน เพื่อให้สัญญาณไฟฟ้าผ่านไปได้ และระยะทางของของสายสัญญาณแบบขนานไม่ควรยาวเกิน ๑๐๐ ฟุต เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาสัญญาณสูญหายไป เนื่องจากความต้านทานของสาย นอกจากนี้อาจมีปัญหาที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าในสายดินส่งคลื่นไปก่อกวนการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้ผู้รับได้รับสัญญาณที่ผิดพลาดได้

     ๒) การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม เป็นการส่งข้อมูลออกทีละ ๑ บิต ระหว่างอุปกรณ์ส่งข้อมูลและอุปกรณ์รับข้อมูล ดังนั้น สื่อกลางหรือสายสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ส่งข้อมูลและอุปกรณ์รับข้อมูล จึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางเพียง ๑ ช่องทาง หรือสายตีเกลียวคู่เพียงคู่เดียว ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแบบขนาน สำหรับการส่งระยะทางไกลๆ ความเร็วในการส่งแบบนี้จะช้ากว่าแบบขนาน หารถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม จะเริ่มด้วยข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณอนุกรมเสียก่อน แล้วค่อยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังอุปกรณ์รับข้อมูลและที่อุปกรณ์รับข้อมูลจะมีกลไกในการเปลี่ยนข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนาน เช่น บิตที่ ๑ ลงที่บัสข้อมูลเส้นที่ ๑ เป็นต้น ความเร็วของการถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม มีหน่วยวัดเป็นบิตต่อวินาที (bps) 
    การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม อาจจะแบ่งตามทิศทางในการรับและส่งข้อมูลได้ ๓ แบบ ดังนี้
    ๒.๑) แบบสื่อสารทางเดียว (simplex) การติดต่อสื่อสารทางเดียวมีลักษณะการส่งข้อมูลไปยังผู้รับในทิศทางเดียว เช่น สถานีวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพทางโทรทัศน์ บอร์ด ประกาศ ภาพ เป็นต้น




    ๒.๒) แบบสื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) การติดต่อสื่อสารแบบกึ่งคู่ มีลักษณะการส่งข้อมูลได้สองทิศทางแบบสลับ แต่ละสถานีสามารถทำหน้าที่ได้ทั้งรับและส่งข้อมูล แต่จะผลัดกันส่งและผลักกันรับ จะส่งและรับข้อมูลในเวลาเดียวกันไม่ใช่ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ วิทยุสื่อสารของระบบขนส่ง การรับส่งโทรสาร (Fax) เป็นต้น

    ๒.๓) สื่อสารทางเต็มอัตรา (full duplex) การติดต่อสื่อสารแบบทางคู่มีลักษณะการส่งข้อมูลได้สองทิศทางพร้อมกัน กล่าวคือ สามารถรับและส่งข้อมูลได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารอ เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์ การสนทนาอินเทอร์เน็ต เป็นต้น




                ๑) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน (ring topology) เป็นการเชื่อมต่อสายสัญญาณจากสถานีเชื่อมโยง (node) หนึ่งไปยังอีกสถานีเชื่อมโยงหนึ่ง โดยเครื่องหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันทางด้านข้างทั้ง ๑ ด้าน จนเกิดเป็นวงกลมหรือลูป (loop) การส่งสัญญาณจะมีการรับและส่งข้อมูลต่อกันไปในทิศทางเดียวกัน จนกระทั่งถึงสถานีปลายทาง จากนั้น สถานีปลายทางจะส่งสัญญาณตอบรับว่าได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
    ข้อเปรียบเทียบการเชื่อมต่อแบบวงแหวน
    ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบวงแหวน
    -                   ใช้สายสัญญาณและเนื้อที่สำหรับติดตั้งน้อย
    -                   ติดตั้งได้ง่าย สามารถเพิ่มหรือตัดสถานีเชื่อมโยงออกได้ง่าย
    -                   เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ในเครือข่ายมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน
    ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบวงแหวน
    -                   หากวงแหวนเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อทั้งเครือข่าย
    -                   ตรวจสอบได้ยากว่าสถานีใดขัดข้อง ทำให้ต้องตรวจสอบทุกสถานีหรือทุกส่วนของเครือข่าย
     ๒. การเชื่อมต่อแบบบัส (bus topology) เป็นการใช้ช่องทางการสื่อสารร่วมกันโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในเครือข่าย จะเชื่อมต่อเข้ากับสายหลักเพียงเส้นเดียว เรียกว่าสาย แบ็กโบน (backbone)
    การเชื่อมต่อแบบบัส นิยมต่อด้วยสายโคแอกชียล




    ข้อเปรียบเทียบการเชื่อมต่อแบบบัส
    ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส
    -                   โครงสร้างไม่ซับซ้อนติดตั้งง่าย
    -                   สามารถขยายระบบเครือข่ายได้ง่าย
    -                   ใช้สัญญาณน้อย เพราะมีสายหลักเพียงสายเดียว
    ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบบัส
    -                   หากสายสัญญาณขาดจะส่งข้อมูลไม่ได้เลย
    -                   ตรวจสอบจุดที่เสียหายได้ยาก
    -                   มีข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะห่างแต่ละสถานี
    ๓. การเชื่อมต่อแบบดาว (star topology) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละตัวเข้ากับจุดศูนย์กลางของเครือข่าย โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ฮับ (hub)หรือ สวิตช์ (switch)
     * การเชื่อมต่อแบบดาว ได้รับความนิยมในการเชื่อมต่อชุดคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
    ข้อเปรียบเทียบการเชื่อมต่อแบบดาว
    ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบดาว
    -                   ติดตั้งและดูแลง่าย
    -                   มีความคงทนสูง แม้ว่าสายสัญญาณขาดที่ใดที่หนึ่ง สายสัญญาณที่เหลือสามารถทำงานได้ปกติ
    -                   หากระบบทำงานบกพร่อง สามารถตรวจสอบหาจุดขัดข้องได้ง่าย

    ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบดาว
    -                   ใช้สายสัญญาณมาก
    -                   ขยายระบบเครือข่ายได้ยาก
    -                   หากฮับเสียหาย จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไม่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
    ๔. การเชื่อมต่อแบบผสม (hybrid topology) เป็นการผสมผสานรูปแบบการเชื่อมต่อแบบต่างๆเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อแบบวงแหวน การเชื่อมต่อแบบบัส หรือ การเชื่อมต่อแบบดาว โดยออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง
    การเชื่อมต่อแบบผสม เป็นการรวมรูปแบบการเชื่อมต่อแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับใช้ในองค์กรขนาดใหญ่

    ข้อเปรียบเทียบการเชื่อมต่อแบบผสม
    ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบผสม
    -                   สามารถเข้าถึงเครือข่ายที่อยู่ในระยะไกลได้
    -                   ทำให้การสื่อสารข้อมูลมีประสิทธิภาพ
    ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบผสม
    -                   ดูแลระบบยาก และเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูง

    -                   โครงสร้างมีความซับซ้อนมีรูปแบบไม่แน่นอน