สำหรับพิมพ์ข้อมูลที่ต้องการลงบนกระดาษแผ่นใส หรือวัสดุชนิดอื่นๆ อาจแบ่งประเภทของ เครื่องพิมพ์ออกเป็น 3 ประเภท
1. เครื่องพิมพ์แบบดอตแมทริกซ์ (Dot Matrix) มี 2 แบบ คือแบบ 9 เข็ม และแบบ 24 เข็ม จะใช้หลักการคล้ายๆ กับเครื่องพิมพ์ดีด วิธีพิมพ์ใช้หัวเข็มกระแทกลง บนผ้าหมึก และใต้ผ้าหมึก ก็จะเป็นกระดาษ เครื่องพิมพ์แบบนี้จะมีเสียงดัง นิยมนำไปใช้ในงานพิมพ์ แบบฟอร์มรายงานที่ต้องใช้ กระดาษต่อเนื่อง
2. เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต (Ink Jet) เป็นเครื่องพิมพ์แบบหมึกพ่น ในการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ แบบนี้ ต้องพิจารณาหลายอย่างเช่น คุณภาพการพิมพ์ พิมพ์ออกมา แล้วหมึกเยิ้มหรือไม่ ราคาหมึกต่อ ตลับหนึ่งตลับพิมพ์ได้ประมาณกี่แผ่น บางรุ่นหมึกแพงแต่พิมพ์ได้ น้อย เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป งานนำเสนอหรืองานพรี เซนเทชั่น สามารถพิมพ์ลงบนแผ่นใสได้ มีหมึกเติมหรือไม่
3. เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Lazer) ราคาค่อนข้างแพงโดยเฉพาะแบบที่พิมพ์สีได้ (ประมาณ ครึ่งแสน) แต่ให้คุณภาพงานที่ดี เหมาะสำหรับงานออกแบบสื่อสิ่ง พิมพ์ การทำอาร์ทเวิร์คหรืองานที่ ต้องการความคมชัด หลักการทำงานจะคล้ายๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร โดยใช้หลักการยิงแสงเลเซอร์ ไปสร้างภาพบนกระดาษ ทำ ให้กระดาษร้อน แล้วจึงปล่อยผงหมึกไปยังที่ได้สร้างภาพไว้ เมื่อพิมพ์ เสร็จใหม่ๆ กระดาษจะร้อนและงอ จึงไม่สามารถใส่กระดาษแผ่นเดิมเพื่อพิมพ์ด้านหลังได้ เพราะกระดาษ อาจติดอยู่ข้างใน แต่ก็มีบางรุ่นที่ทำได้ โดยพิมพ์ลงกระดาษแบบหน้าหลังได้ ส่วนราคาก็ต้องชั่งใจ เหมือนกัน แพงครับ
การเลือกซื้อเครื่องพิมพ์
พิจารณาลักษณะการพิมพ์งานของคุณ ว่าพิมพ์ขาวดำหรือสีมากกว่า ถ้าพิมพ์ขาวดำและใช้ เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต ก็ควรเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ที่มีหัวหมึกพิมพ์ติดอยู่ กับตลับหมึก บางรุ่นที่ หัวหมึกพิมพ์ค่อนข้างทนทานก็จะสามารถเติมได้บ่อยครั้ง การซื้อตลับหมึกอันใหม่ไม่คุ้ม ราคาพันกว่า บาทต่อตลับ แต่หมึกเติมไม่กี่ร้อย เติม ได้ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง คุ้มกว่ามากประหยัดเงินได้เป็นพัน
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559
แผ่นดิสก์เก็ต สำหรับใชักับคอมพิวเตอร์
สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น งานที่พิมพ์ ก็คล้ายๆ กับม้วนเทป เพียงแต่แผ่นดิสก์เก็ต เก็บข้อมูลได้มากกว่าและสะดวกกว่าจะเก็บข้อมูลได้ประมาณ 1.44 Mb ใน การเลือกซื้อ ก็เลือกซื้อที่มี ยี่ห้อสักหน่อย เช่น Verbatim, Maxell เพราะพวกไม่มียี่ห้อคุณภาพ ก็ต่ำลงตามไปด้วย บางแผ่นใช้ได้ ไม่กี่ครั้งก็เสียใช้งานต่อไม่ได้ โดย เฉพาะหากนำไปใช้บีบย่อด้วยโปรแกรม Pkzip ก็อาจจะทำให้ส่วน เก็บข้อมูลเสียได้เหมือนกัน แม้จะเป็นแผ่นใหม่เพิ่งจะใช้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
แผ่นดิสก์เก็ตหรือแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์อาจแบ่งเป็น 2 ขนาด คือขนาด 3.5” และ 5.25” แต่ขนาด 5.25” ไม่นิยมใช้กันแล้ว
แผ่นดิสก์เก็ตหรือแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์อาจแบ่งเป็น 2 ขนาด คือขนาด 3.5” และ 5.25” แต่ขนาด 5.25” ไม่นิยมใช้กันแล้ว
โมเด็มสำหรับคอมพิวเตอร์
คำว่า Modem ย่อมาจาก MOdulator และ DEModulator จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอะนาล็อก (MOdulator) เพื่อให้ สามารถส่งไปตามสายโทรศัพท์ ได้ จากนั้นก็จะแปลงกลับเป็นสัญญาณดิจิตอลเหมือนเดิม (DEModulator)
ในปัจจุบันโมเด็มมีความสำคัญอย่างมากที่ควรมีไว้ เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร รับส่ง แฟกซ์ และค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต โมเด็มมีอยู่ 2 แบบคือ แบบ ติดตั้งภายใน ( Internal ) และแบบ ติดตั้งภายนอก (External) การเลือกซื้อควรเลือกซื้อแบบติดตั้งภายนอกจะดีกว่า เพราะสามารถพกพา ไปใช้ที่ต่างๆ ได้ และจะมี ตัวประมวลผลอยู่ในตัวไม่ต้อง ใช้ความสามารถของซีพียูในการทำงานบางอย่าง เหมือนโมเด็มแบบภายใน แต่ราคาจะแพงกว่าเท่าตัว ส่วนความเร็วของโมเด็ม ให้ เลือกขั้นต่ำที่ 33.6 Bps แต่ถ้าจะให้ดีควรเลือกที่ความเร็ว 56 K และสนับสนุนมาตรฐาน V.90 ด้วย
เมนบอร์ดบางรุ่นนอกจากจะมีการ์ดเสียง การ์ดจอแล้ว ก็ยังมีโมเด็มในตัวด้วย เป็นเมนบอร์ด ที่เหมาะสำหรับใช้โปรแกรมในสำนักงาน ใช้งานทั่วๆ ไป ใช้อินเตอร์ เน็ต
ประเภทของโมเด็ม
สำหรับการแบ่งประเภทของโมเด็มในที่นี้จะแบ่งตามความเร็วในการรับส่งข้อมูล
1. โมเด็มความเร็ว 14.4 k เป็นโมเด็มที่ตกยุคไปแล้ว ไม่เหมาะที่จะใช้ติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะ บริการอินเตอร์เน็ตแบบ WWW (World Wide Web) ที่ใช้กันอยู่ ในปัจจุบัน การรับส่งข้อมูลค่อนข้างช้า จนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับการใช้อินเตอร์เน็ตแบบ Text Mode หรือแบบข้อความ ซึ่งแทบไม่ค่อย มีใช้กันแล้ว
สำหรับการแบ่งประเภทของโมเด็มในที่นี้จะแบ่งตามความเร็วในการรับส่งข้อมูล
1. โมเด็มความเร็ว 14.4 k เป็นโมเด็มที่ตกยุคไปแล้ว ไม่เหมาะที่จะใช้ติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะ บริการอินเตอร์เน็ตแบบ WWW (World Wide Web) ที่ใช้กันอยู่ ในปัจจุบัน การรับส่งข้อมูลค่อนข้างช้า จนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับการใช้อินเตอร์เน็ตแบบ Text Mode หรือแบบข้อความ ซึ่งแทบไม่ค่อย มีใช้กันแล้ว
2. โมเด็มความเร็ว 28.8 k เช่นเดียวกับโมเด็มแบบความเร็ว 14.4 K ถือได้ว่าค่อนข้างช้า อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังพอทน..ได้
3. โมเด็มความเร็ว 36.6 k เป็นโมเด็มที่ยังน่าใช้อยู่ ความเร็วจัดอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่ในท้อง ตลาดอาจมีน้อยเต็มที
4. โมเด็มความเร็ว 56 K เป็นโมเด็มที่น่าใช้ที่สุด แต่คงต้องดูคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้ด้วย หากเป็นเครื่องรุ่นเก่าอาจไม่มีพอร์ตสื่อสาร ที่รองรับความเร็วระดับนี้ ควร ใช้กับเครื่องระดับเพนเทียม ขึ้นไป ซึ่งโมเด็ม 56K แบบอินเตอร์นอลหรือติดตั้งภายในบางรุ่นจะระบุว่าให้ใช้กับเพนเทียม 200 แรม 32 Mb ขึ้นไป
นอกจากการเชื่อมต่อด้วยโมเด็มแล้วหากเป็นการใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊คต่อเข้ากับ มือถึอ ซึ่งจะมีสายเชื่อมต่อข้อมูล (Data Link) จะใช้ความเร็วได้ประมาณ 9,600 Byte เท่านั้น เหมาะ สำหรับการเช็คอีเมล์
การเลือกซื้อโมเด็ม
แนะนำให้เลือกซื้อโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก เลือกความเร็วขึ้นต่ำ 56 K รองรับการใช้งาน กับโปรแกรม Windows หลายๆ เวอร์ชัน และถ้าหากต้องการใช้กับ โปรแกรมโอเอส หลายๆ แบบทั้ง Linux และ Windows ให้ดูรายชื่อโมเด็มในฮาร์ดแวร์ลิสต์ในโปรแกรม Windows หรือ Linux ดูว่า รองรับโมเด็มรุ่นใดบ้าง และก็ เลือกซื้อรุ่นนั้นๆ มาใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเก่า แต่ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ เลวร้ายมากนัก โมเด็มดีๆ แต่ประสิทธิภาพสายโทรศัพท์ในบ้านเรายังไม่ดี จึงยากที่โมเด็ม จะทำความ เร็วได้เต็มความสามารถ
แนะนำให้เลือกซื้อโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก เลือกความเร็วขึ้นต่ำ 56 K รองรับการใช้งาน กับโปรแกรม Windows หลายๆ เวอร์ชัน และถ้าหากต้องการใช้กับ โปรแกรมโอเอส หลายๆ แบบทั้ง Linux และ Windows ให้ดูรายชื่อโมเด็มในฮาร์ดแวร์ลิสต์ในโปรแกรม Windows หรือ Linux ดูว่า รองรับโมเด็มรุ่นใดบ้าง และก็ เลือกซื้อรุ่นนั้นๆ มาใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเก่า แต่ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ เลวร้ายมากนัก โมเด็มดีๆ แต่ประสิทธิภาพสายโทรศัพท์ในบ้านเรายังไม่ดี จึงยากที่โมเด็ม จะทำความ เร็วได้เต็มความสามารถ
ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โปรแกรมคอมพิวเตอร์คืออะไร
การที่คอมพิวเตอร์จะทำงานได้นั้น เราจะต้องใช้คำสั่งเฉพาะที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อควบคุม การทำงานของคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเกิดจากการเขียน โปรแกรมหรือนำคำสั่ง ที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน มาเรียบเรียงเข้าด้วยกัน อย่างเป็นลำดับขึ้นตอน ตามแต่ ความต้องการของผู้เขียนโปรแกรมหรือผู้พัฒนา โปรแกรม ว่าต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไรบ้าง
การมีโปรแกรมอยู่ในเครื่องเป็นจำนวนมาก คอมพิวเตอร์ก็จะมากความสามารถตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเครื่องหรือผู้ใช้ ถ้าผู้ใช้ไร้ความสามารถ ไม่มี ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ก็ยาก ที่จะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเราจะพบเห็นบุคคลประเภทนี้ ว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้ เป็นแค่เครื่องพิมพ์ดีดเท่านั้นเอง โดยไม่คิดจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้าน คอมพิวเตอร์เลย รู้แค่ไหนก็ใช้ไปแค่นั้น ทำตัวรู้มาก จะโดนใช้งาน มีแต่คนจ้องแต่จะใช้ ให้ทำนู่นทำนี่ บางทีก็ไม่ดีเหมือนกัน
สำหรับโปรแกรมต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่นั้น เรียกว่าโปรแกรมสำเร็จรูป เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนา หรือสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ เราก็สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ถ้าต้องการโปรแกรมที่เหมาะสำหรับ งานของเราจริงๆ เพราะโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีอยู่บางครั้ง ก็ไม่ตรงกับความต้องการของเรา ไม่สามารถ นำมาใช้งานในองค์กร หรือหน่วยงานได้ดีเท่าที่ควร
การที่คอมพิวเตอร์จะทำงานได้นั้น เราจะต้องใช้คำสั่งเฉพาะที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อควบคุม การทำงานของคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเกิดจากการเขียน โปรแกรมหรือนำคำสั่ง ที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน มาเรียบเรียงเข้าด้วยกัน อย่างเป็นลำดับขึ้นตอน ตามแต่ ความต้องการของผู้เขียนโปรแกรมหรือผู้พัฒนา โปรแกรม ว่าต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไรบ้าง
การมีโปรแกรมอยู่ในเครื่องเป็นจำนวนมาก คอมพิวเตอร์ก็จะมากความสามารถตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเครื่องหรือผู้ใช้ ถ้าผู้ใช้ไร้ความสามารถ ไม่มี ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ก็ยาก ที่จะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเราจะพบเห็นบุคคลประเภทนี้ ว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้ เป็นแค่เครื่องพิมพ์ดีดเท่านั้นเอง โดยไม่คิดจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้าน คอมพิวเตอร์เลย รู้แค่ไหนก็ใช้ไปแค่นั้น ทำตัวรู้มาก จะโดนใช้งาน มีแต่คนจ้องแต่จะใช้ ให้ทำนู่นทำนี่ บางทีก็ไม่ดีเหมือนกัน
สำหรับโปรแกรมต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่นั้น เรียกว่าโปรแกรมสำเร็จรูป เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนา หรือสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ เราก็สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ถ้าต้องการโปรแกรมที่เหมาะสำหรับ งานของเราจริงๆ เพราะโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีอยู่บางครั้ง ก็ไม่ตรงกับความต้องการของเรา ไม่สามารถ นำมาใช้งานในองค์กร หรือหน่วยงานได้ดีเท่าที่ควร
แสกนเนอร์ เครื่องแสกนภาพเข้าคอมพิวเตอร์
แสกนเนอร์ทำหน้าที่คล้ายๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร เพียงแต่ภาพหรือข้อความจะไปปรากฏที่ จอภาพ ซึ่งจะทำให้สามารถนำภาพไปใช้งานได้ เช่น นำไปปะกับ เอกสารที่พิมพ์
เครื่องแสกนเนอร์สามารถสแกนได้ทั้งภาพและข้อความนิยมใช้ในงาน
เครื่องแสกนเนอร์สามารถสแกนได้ทั้งภาพและข้อความนิยมใช้ในงาน
ออกแบบกราฟิกและสื่อ สิ่งพิมพ์ งานตกแต่งภาพ แสกนเนอร์ มีหลายแบบ คุณภาพของแสกน เนอร์ จะอยู่ที่ความละเอียดในการ แสกน
แสกนเนอร์ แบบมือถือซึ่งจะมีราคาถูก แต่คุณภาพก็ไม่ดีนัก ภาพที่ได้จากการแสกนอาจบูดๆ เบี้ยวๆ ถ้าการลากแสกนเนอร์ไม่นิ่ง และไม่สม่ำเสมอ
แสกนเนอร์แบบตั้งโต๊ะมีราคาแพงกว่าแบบมือถือ คุณภาพงานดีกว่า สามารถแสกนภาพขนาด ใหญ่ (A4) ได้ ลักษณะจะคล้ายๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร
นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องพิมพ์บางรุ่นนอกจากจะพิมพ์เอกสารได้แล้ว ก็ยังแสกนภาพได้อีกด้วย แต่วุ่นวายต้องถอดเปลี่ยนหัวพิมพ์ และหัวแสกนเพื่อทำงานแต่ละ อย่าง
การ์ดเสียงในคอมพิวเตอร์
การ์ดเสียงเป็นอุปกรณ์อีเล็คทรอนิค ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถสร้างเสียงต่างๆ ได้ การ์ดเสียงมีหลายแบบ เช่น
แบบ Fm จะเป็นการ์ดเสียงที่ใช้กันทั่วๆ ไป มีราคาถูก เหมาะสำหรับการเล่นเกม ฟังเพลง จากแผ่นซีดีเพลง สามารถเล่นไฟล์ เสียงประเภท Wav, Voc ได้ดี
แบบ Fm จะเป็นการ์ดเสียงที่ใช้กันทั่วๆ ไป มีราคาถูก เหมาะสำหรับการเล่นเกม ฟังเพลง จากแผ่นซีดีเพลง สามารถเล่นไฟล์ เสียงประเภท Wav, Voc ได้ดี
แบบ Wavetable เป็นการ์ดเสียงคุณภาพสูง เหมาะสำหรับงานดนตรี แต่งเพลง ปัจจุบัน มีการสร้างเป็นไฟล์แบบ Midi หรือเป็นเพลงบรรเลง ซึ่งจะช่วยให้สามารถ ร้องเพลงคาราโอเกะกับ คอมพิวเตอร์ได้ เช่น ใช้โปรแกรม NCN คาราโอเกะ คุณภาพเสียงที่ได้จะดีว่าการ์ดแบบ FM แต่การ์ด แบบนี้ไม่เหมาะจะนำไปเล่นเกม เพราะจะให้เสียงที่ไม่ค่อยดีและราคาค่อนข้างแพงกว่าแบบ Fm การ์ดดีๆ ตัวเป็นหมื่น
แบบผสม มีการ์ดในปัจจุบันหลายยี่ห้อเป็นแบบผสม ทั้ง Fm และ Wavetable เข้าด้วยกัน ช่วยให้สามารถเล่นเกมได้เสียงสมจริง และฟังเพลงได้อรรถรส เป็นรูป แบบการ์ดที่ขายกันในปัจจุบัน
ที่ตัวการ์ดเสียงจะมีตำแหน่งสำหรับต่อสายลำโพง (SPK หรือ Speaker Out หรือ Audio Out) ช่องต่อไมค์ (Mic) ช่องต่อสัญญาญเข้า (Line In) สำหรับนำ สัญญาณจากที่อื่นเข้ามาช่อง Line Out สำหรับนำสัญญาณออกไปเข้าเครื่องขยายและพอร์ตสำหรับต่อจอยสติ๊กหรือเครื่องดนตรี เช่น คีย์บอร์ดแบบ General Midi
นอกจากนี้อาจแยกลักษณะของการ์ดเสียงได้อีกแบบ คือการ์ดเสียงแบบการ์ดขยาย เป็นการ์ด ส่วนใหญ่ในท้องตลาด เป็นการ์ดเดี่ยวๆ สำหรับนำไปเสียบกับสล็อต บนเมนบอร์ด และอีกแบบหนึ่ง ก็คือการ์ดเสียงออนบอร์ด โดยจะมีการระบุข้อความต่างๆ ในการโฆษณา เช่น Sound Wavetable AC' 9, Audio AC97 Onboard หรือ Sound on board ซึ่งจะถูกออกแบบให้ติดอยู่กับเมนบอร์ด สะดวก ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเงินซื้อการ์ดแยกต่างหาก
การเลือกซื้อการ์ดเสียง
ถ้ามีงบมากสักหน่อย เลือกของ Creative Sound blaster สักรุ่น พร้อมลำโพง แบบ 4.1 ลำโพงเล็ก 4 ตัว ซับวูฟเฟอร์ 1 ตัว ความสุนทรี ก็เกือบเทียบเท่าอยู่ในโรงหนัง ที่มีระบบเสียง Dolby System ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม รับรองว่าได้สัมผัสทุกรสของเสียง
ถ้ามีงบน้อยๆ ก็เลือกการ์ดเสียงที่มีคุณสมบัติ Wavetable ในตัว ไว้ร้องเพลงคาราโอเกะ NCN หรือ Nick Karaoke ก็พอฟังได้ ต่อเข้าเครื่องขยายก็ดังสนั่น พอได้ อารมณ์เหมือนกัน
ถ้ามีงบมากสักหน่อย เลือกของ Creative Sound blaster สักรุ่น พร้อมลำโพง แบบ 4.1 ลำโพงเล็ก 4 ตัว ซับวูฟเฟอร์ 1 ตัว ความสุนทรี ก็เกือบเทียบเท่าอยู่ในโรงหนัง ที่มีระบบเสียง Dolby System ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม รับรองว่าได้สัมผัสทุกรสของเสียง
ถ้ามีงบน้อยๆ ก็เลือกการ์ดเสียงที่มีคุณสมบัติ Wavetable ในตัว ไว้ร้องเพลงคาราโอเกะ NCN หรือ Nick Karaoke ก็พอฟังได้ ต่อเข้าเครื่องขยายก็ดังสนั่น พอได้ อารมณ์เหมือนกัน
คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
คีย์บอร์ดเป็นอุปกรณ์รับข้อมูลหรือเป็นส่วน Input เพื่อนำไปประมวลผล คีย์บอร์ดมีหลาย แบบ เช่น แบบมีปุ่มควบคุมการเล่นเพลง ซึ่งเรียกว่าคีย์บอร์ดแบบมัลติมิ เดีย คีย์บอร์ดแบบไร้สาย สื่อสารข้อมูลผ่านพอร์ตอินฟราเรด เป็นต้น
ประเภทของคีย์บอร์ด
1. Serial Key Board เป็นคีย์บอร์ดที่มีมาแต่ดั้งเดิม ยุคกำเนิดคอมพิวเตอร์ สังเกตง่ายๆ ก็คือส่วนหัวสำหรับต่อกับเมนบอร์ด จะมีขนาดใหญ่ คีย์บอร์ดประเภทนี้ จะใช้กับเมนบอร์ดหรือเคส แบบ AT
2. PS/2 Key Board เป็นคีย์บอร์ดที่พัฒนาขึ้นใหม่ ส่วนหัวต่อมีขนาดเล็กกว่าแบบแรก คีย์บอร์ดประเภทนี้จะใช้กับเมนบอร์ด หรือเคสแบบ ATX
การเลือกซื้อคีย์บอร์ด
ไม่ว่าจะมียี่ห้อหรือคีย์บอร์ดทั่วๆ ไป ราคา 200 กว่าบาท ก็ค่อนข้างทนทานพอสมควร ตั้งแต่ ใช้เครื่องมายังไม่เคยใช้จนพังเลยสักที แต่มีสิ่งที่ต้องใส่ใจในการเลือก ซื้อก็คือ ปุ่มต่างๆ นิ่มมือดีหรือ ไม่ เสียงไม่ดังเกินไป ลองวางมือแล้วพิมพ์ข้อความแล้วรู้สึกคล่องดีหรือไม่ และสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ก็คือเลือกหัวต่อให้ถูกต้อง ตรงกับ เมนบอร์ดที่ใช้
เมาส์สำหรับคอมพิวเตอร์
เมาส์เป็นอุปกรณ์ใช้เลือกและป้อนคำสั่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ โดยปกติเมาส์จะมีสามปุ่ม แต่บางรุ่นอาจจะมีสองปุ่ม ปุ่มซ้าย เป็นปุ่มที่ใช้งานโดยปกติ ปุ่มขวา ใช้เรียกคำสั่งลัดหรือคำสั่ง ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานตรงส่วนนั้นๆ ส่วนปุ่มตรงกลางไม่มีหน้าที่อะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับโปรแกรมบาง โปรแกรมอาจกำหนดให้สามารถใช้ ปุ่มกลางทำบางสิ่งบางอย่างได้ ทั้งนี้ตรงกลางเมาส์บางแบบ ทำเป็น ล้อเลื่อน สำหรับดูข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต สามารถเลื่อนที่ล้อเลื่อนเพื่อดูหน้าต่างๆ ได้
2. PS/2 Mouse เป็นเมาส์แบบใหม่ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมา หัวต่อจะมีขนาดเล็กกว่าแบบ แรก ข้อดีของการใช้เมาส์แบบนี้ก็คือ จะเหลือพอร์ต Com1 และ Com2 ไว้ใช้งานอย่างอื่น เช่น ต่อโมเด็มหรือปาล์ม
3. Trackball เป็นเมาส์อีกแบบหนึ่งคล้ายๆ กับการจับเมาส์หงายขึ้นแล้วใช้มือหมุนลูกกลิ้ง แทน โดยส่วนมากจะใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ Notebook
4. Infrarate Mouse คล้ายๆ กับรีโมตคอนโทรลที่ควบคุมการทำงานของทีวี จะไม่มีสายเชื่อมต่อระหว่างเมาส์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะใช้แสงอินฟราเรดใน การรับส่งสัญญาณ แทน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นวิทยากร หรืออาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ หรือการนำเสนอข้อมูลใดๆ ด้วย คอมพิวเตอร์ เพราะคุณสามารถเลื่อนตัวชี้ ของเมาส์เพื่อควบคุมการนำเสนอได้ค่อนข้างสะดวก ไม่ต้องยืน ควบคุมเมาส์ที่โต๊ะอย่างเดียว
ประเภทของเมาส์
เมาส์มีหลายแบบ ซึ่งอาจแบ่งประเภทของเมาส์ได้ ดังนี้
1. Serial Mouse เป็นเมาส์แบบดั้งเดิมหรือแบบเก่าหรือเรียกว่าหัวเหลี่ยม เชื่อมต่อกับ พอร์ต Com1 หรือ Com2
1. Serial Mouse เป็นเมาส์แบบดั้งเดิมหรือแบบเก่าหรือเรียกว่าหัวเหลี่ยม เชื่อมต่อกับ พอร์ต Com1 หรือ Com2
2. PS/2 Mouse เป็นเมาส์แบบใหม่ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมา หัวต่อจะมีขนาดเล็กกว่าแบบ แรก ข้อดีของการใช้เมาส์แบบนี้ก็คือ จะเหลือพอร์ต Com1 และ Com2 ไว้ใช้งานอย่างอื่น เช่น ต่อโมเด็มหรือปาล์ม
3. Trackball เป็นเมาส์อีกแบบหนึ่งคล้ายๆ กับการจับเมาส์หงายขึ้นแล้วใช้มือหมุนลูกกลิ้ง แทน โดยส่วนมากจะใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ Notebook
4. Infrarate Mouse คล้ายๆ กับรีโมตคอนโทรลที่ควบคุมการทำงานของทีวี จะไม่มีสายเชื่อมต่อระหว่างเมาส์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะใช้แสงอินฟราเรดใน การรับส่งสัญญาณ แทน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นวิทยากร หรืออาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ หรือการนำเสนอข้อมูลใดๆ ด้วย คอมพิวเตอร์ เพราะคุณสามารถเลื่อนตัวชี้ ของเมาส์เพื่อควบคุมการนำเสนอได้ค่อนข้างสะดวก ไม่ต้องยืน ควบคุมเมาส์ที่โต๊ะอย่างเดียว
การเลือกซื้อเมาส์
การเลือกซื้อเมาส์ราคาประมาณ 200 บาทขึ้นไป เลือกที่มียี่ห้อสักหน่อย ใช้กันจนลืมไปเลย ทีเดียว เมาส์จะมีอายุการใช้งานก็ต้องดูแลรักษา เรื่องฝุ่นอย่าให้เข้าใกล้ คลุมทุกครั้งหลังเลิกใช้งาน หมั่นเช็ดฝุ่นที่แกนหมุน จะช่วยให้การเลื่อนเมาส์ลื่นไหลไม่ติดขัด
การเลือกซื้อ ก็ลองกดปุ่มหรือลองคลิก นิ่มนวลหรือไม่ เสียงไม่ดัง จับกระชับมือ เลือกแบบ มีล้อตรงกลางก็ยิ่งดี ไว้เลื่อนหน้า เวลาท่องเว็บ หรือใช้งานโปรแกรมพิมพ์ เอกสารจะสะดวกมาก
การเลือกซื้อ ก็ลองกดปุ่มหรือลองคลิก นิ่มนวลหรือไม่ เสียงไม่ดัง จับกระชับมือ เลือกแบบ มีล้อตรงกลางก็ยิ่งดี ไว้เลื่อนหน้า เวลาท่องเว็บ หรือใช้งานโปรแกรมพิมพ์ เอกสารจะสะดวกมาก
ซีพียู CPU ของคอมพิวเตอร์
CPU (Central Processing Unit) หรืออาจเรียกอีกชื่อว่า ไมโครโปรเซสเซอร์ เปรียบได้กับ สมองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คิด คำนวณและทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ การเรียกคอมพิวเตอร์ อีกแบบหนึ่ง นอกจากยี่ห้อแล้วก็นิยมเรียกตามความเร็วของซีพียู
การเลือกใช้ซีพียูที่ความเร็วเท่าไรนั้นให้พิจารณางานที่ทำอยู่ หากเป็นการใช้งานทั่วๆ ไปใน สำนักงาน ใช้อินเตอร์เน็ตเลือกประมาณ เพนเทียม 200 MHz ขึ้นไป ก็ ใช้งานได้สบาย และในปัจจุบัน เครื่องใหม่ๆ จะมีความเร็วตั้งแต่ 700 MHz ขึ้นไป จึงไม่ต้องกลัวเรื่องตกรุ่น หากใช้งานโปรแกรม ประเภทกราฟิค 3 มิติ ออกแบบ เล่นเกม ประเภทนี้เครื่องต้องแรง แบบนี้ต้องเลือกซีพียูความเร็ว สูง แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วๆ ไป ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก ผู้เขียนเองยังใช้เครื่องกระจอกๆ 486DX-100, Pentium 150, Pentium 200 มีดีหน่อยก็ Pentium II 450 MHz เมื่อเทียบกับเครื่องที่ขายกัน อยู่ในตอนนี้ ความเร็ว ความแรง คนละเรื่องกันเลย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใช้อินเตอร์เน็ต พิมพ์งาน ตกแต่งภาพ ดูหนังฟังเพลงได้สบาย ใช้มาตั้งแต่ปี 41 ก็ดูเหมือนจะใช้ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะพังกันไปข้าง ใคร่แนะนำ ว่า ระหว่างที่เขาอยู่กับเรา ก็จงใช้ให้คุ้มกับความสามารถเครื่องที่มีอยู่ น่าจะดีกว่านะ
นอกจากซีพียูที่ผลิตโดยอินเทลแล้วก็มีของ AMD เช่น K5, K6, K6-II, K6-III, K7,Duron, Thunderbird และ Athlon XP และ ซีพียูของ VIA Cyrix/IBM เช่น 6x86L, 6x86MX, MII-300/333, MIII-533/550/600 และ VIA Cyrix III
ซีพียูมีอยู่หลายชนิดหลายบริษัท ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาดที่นิยม ใช้กันมากๆ ในบ้านเรา โดยจะแยกเป็น 2 ค่ายใหญ่ๆ คือ อินเทล (Intel) และเอเอ็มดี (AMD) เหมือนกับ การแยกชนิดของเมนบอร์ด
ซีพียูของอินเทล
จะแบ่งเป็น 3 แบบตามชนิดของเมนบอร์ดดังนี้
1. ซีพียูที่มีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการติดตั้งแบบ FC-PGA 370
สำหรับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ซีพียูในกลุ่มนี้จะเป็นเซเลอรอนและเพน เทียมทรี (Celeron & Pentium III)
1. ซีพียูที่มีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการติดตั้งแบบ FC-PGA 370
สำหรับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ซีพียูในกลุ่มนี้จะเป็นเซเลอรอนและเพน เทียมทรี (Celeron & Pentium III)
2. ซีพียูที่มีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการติดตั้งแบบ FC-PGA 423
สำหรับเมนบอร์ดแบบ Socket 423 ซีพียูในกลุ่มนี้จะเป็นเพนเทียมโพร์
3. ซีพียูที่มีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการติดตั้งแบบ FC-PGA2 478
สำหรับเมนบอร์ดแบบ Socket 478 ซีพียู่ในกลุ่มนี้จะเป็นเพนเทียมโฟร์เหมือนกัน
ซีพียูของเอเอ็มดี
เป็นซีพียูของเอเอ็มดี ในปัจจุบันที่มีวางขายอยู่จะเป็นซีพียูที่มีอินเตอร์เฟสหรือลักษณะการ ติดตั้งแบบ Socket A ทั้งหมด จะมีรุ่นต่างๆ เช่น Duron, Athlon Thunderbird และ Athlon XP
ส่วนประกอบต่างๆ ของซีพียู
ซีพียูแต่ละแบบจะมีส่วนประกอบต่างๆ คล้ายๆ กัน
1. จำนวนขาหรือพินจะมีตำแหน่งที่บ่งบอกว่าขาที่ 1 อยู่ด้านใด ซึ่งจะสัมพันธ์กับตัวซ็อกเกต ที่เมนบอร์ด การติดตั้งก็เพียงแต่วางซีพียูลงไปบนซ็อกเกตให้ตำแหน่ง ขาที่ 1 ตรงกัน
1. จำนวนขาหรือพินจะมีตำแหน่งที่บ่งบอกว่าขาที่ 1 อยู่ด้านใด ซึ่งจะสัมพันธ์กับตัวซ็อกเกต ที่เมนบอร์ด การติดตั้งก็เพียงแต่วางซีพียูลงไปบนซ็อกเกตให้ตำแหน่ง ขาที่ 1 ตรงกัน
2. ตำแหน่งติดตั้งพัดลมระบายความร้อน (Heating) ต้องใส่ใจพอสมควร โดยเฉพาะซีพียู ของเอเอ็มดี จะมีความร้อนสูงกว่าของอินเทล จึงต้องเลือกพัดลมที่มี คุณภาพพอสมควร พัดลมดีๆ สักตัวแพงพอๆ กับซีพียูเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นซีพียูรุ่นเก่าโดยเฉพาะของ อินเทลจะมีพัดลมติดมาพร้อม กับซีพียูด้วย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม เหมือนของเอเอ็มดี
3. สายไฟพัดลมซีพียู เมื่อติดตั้งพัดลมก็จะมีสายไฟต่อไฟเข้าพัดลม ให้นำสายไฟไปต่อที่ ตำแหน่ง CPU FAN บนเมนบอร์ด
ตำแหน่งซ็อกเก็ตสำหรับติดตั้งซีพียูบนเมนบอร์ดแต่ละแบบ จะมีลักษณะเฉพาะสำหรับซีพียู แต่ละรุ่น จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการติดตั้งซีพียูลงบนซ็อกเก็ต เพราะ ถ้าผิดตัวผิดทางก็ไส่ไม่ได้อยู่แล้ว
การเลือกซื้อซีพียู
การเลือกซื้อซีพียู ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเลือกซีพียูของอินเทลมากกว่าของ AMD ที่เป็นคู่แข่ง แม้ราคาจะถูกกว่าและประสิทธิภาพ ก็ไม่ได้ด้อยกว่า โดยเฉพาะ Athlon XP หากเทียบประสิทธิภาพ การทำงานกับ Pentium 4 แล้วหลายๆ ด้านดีกว่ามาก คุ้มค่าเงินมากว่า แต่ซีพียูของเจ้านี้จะมีปัญหา ก็เรื่องความร้อน ราคาซีพียูไม่แพง แต่ต้องเลือกซื้อพัดลมระบายความร้อนดีๆ มาติดให้กับซีพียู ก็หายห่วง
หากมองในข้อดีแล้วซีพียูของ AMD จะได้เปรียบในเรื่องการอัพเกรด ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เพราะ มีซ็อกเก็ตแบบเดียวคือ Socket A ใช้กับซีพียูได้ทุกรุ่น อัพเกรดโดย เปลี่ยนเฉพาะซีพียูเท่านั้น ในขณะ ที่ซีพียูของอินเทลค่อนข้างหลากหลาย เมนบอร์ดและอุปกรณ์อื่นๆ ก็หลากหลายตามไปด้วย อัพเกรด แต่ละทีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เพราะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หลายตัว แต่ข้อดีของซีพียูค่านี้ก็คือ เรื่องความร้อน น้อยกว่า และเมื่อความร้อนน้อย ความเสถียรในการทำงานก็จะมีมากกว่า
สรุปหากมองในแง่ความคุ้มค่าเงินแล้ว เลือกซีพียูของ AMD น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับ ผู้ที่มีงบน้อย แต่ต้องการซีพียูประสิทธิภาพคุ้มค่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)