วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

พื้นฐานการถ่ายภาพ

พื้นฐานการถ่ายภาพ

ความเร็วชัตเตอร์ 
   เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น
   ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น
ขนาดรูรับแสง 
   กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก

การเพิ่มแสง 
   การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8
การลดแสง 
   การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6

ที่มา :th.wikibooks.org 

มุมกล้อง

มุมกล้อง

ภาพมุมปกติ (Normal angle shot) 
การตั้งกล้องระดับเดียวกับสิ่งที่ถ่ายหรือระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงความเรียบง่าย คุ้นเคย ใช้กับภาพทั่วๆไปเป็นมุมกล้องที่ใช้มากที่สุด ภาพอยู่ในระดับสายตาหรือบางทีเรียกภาพมุมระดับสายตา

ภาพมุมสูง (high angle shot) 
การตั้งกล้องระดับสูงกว่าวัตถุหรือสุงกว่าสิ่งที่ถ่าย สื่อความหมายตรงข้ามกับภาพมุมต่ำ คือ ไร้พลัง ไร้อำนาจ อ่อนแอ ต่ำต้อย

ภาพมุมต่ำ( Low angle shot) 
การตั้งกล้องระดับต่ำกว่าวัตถุหรือต่ำกว่าสิ่งที่ถ่าย หรือต่ำกว่าระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงพลัง อำนาจความเข้มเเข็ง

มุมวัตถุ (Objective)
มุมของผู้ดู เป็นมุมภาพทั่วๆ ไปเหมือนภาพมุมปกติแทนสายตาของผู้ชมที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่มีส่วนร่วม เช่น ผู้ชมมองเห็นวัตถุ สถานที่ หรือมองเห็นตัวแสดงคุยกันเอง

มุมแทนความรู้สึกผู้แสดง ตรงข้ามกับมุมวัตถุ(Subjective) 
ภาพมุมมองของ ตัวแสดง เช่น ตำรวจเล็งปืนสอดส่ายตามองหาผู้ร้ายที่หลบอยู่ในลานจอดรถ จะเป็นภาพแทนสายตาของตัวแสดง คือภาพรถกวาดไปทีละคัน

มุมข้ามไหล่ (Over Shoulder shot )
การตั้งกล้องไว้ทางซ้ายหรือขวาของคู่สนทนาถ่ายเฉียงผ่านไหล่ของคู่สนทนา เห็นหน้าของคนที่แสดงหรือคนที่กำลังพูดแสดง โดยไม่มีไหล่และบางส่วนของศีรษะคู่สนทนาเป็นฉากหน้า ให้รู้ว่ากำลังคุยกับผู้อื่น และทำให้ภาพมีมิติมีความลึก

ที่มา  : https://nikefitzone.wordpress.com

ประเภทของการถ่ายภาพ

ประเภทของการถ่ายภาพ

การถ่ายภาพทิวทัศน์

     นักถ่ายภาพสมัครเล่นนิยมถ่ายภาพประเภทนี้มาก เพราะสามารถถ่ายได้ง่าย สะดวก ถ่ายได้ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาสผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพร น้ำตก หรือท้องทะเลก็ตาม อย่างน้อยผู้ถ่ายภาพก็สามารถเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกถึงความหลักการถ่ายภาพทิวทัศน์ ควรถ่ายขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใส จะได้ภาพสวยงาม ชัดเจน ถ้าอากาศมืดครึ้มหรือฝนตก ภาพที่ได้จะมีสีทึบ ขาดรายละเอียด การบันทึกความสวยงามของลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติดังกล่าว จะมีคุณค่าและความ สวยงามนั้น ควรต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่ช่วยสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นพยายามเลือกมุมกล้องที่แปลกตา คอยจังหวะให้มีลักษณะแสงสีที่สวยงาม สามารถสร้างบรรยากาศให้ผู้ดูเกิดอารมณ์คล้อยตาม เช่น ภาพที่มีหมอกในฤดูหนาว ควัน ฝนตก หรือพายุ ฯลฯ บรรยากาศ แสงสีในเวลาเช้ามืดก่อนจะสว่าง หรือในตอนเย็น พระอาทิตย์กำลังจะตกจะมีแสงสีที่ให้ความรุนแรงมีสีน้ำเงิน ม่วง เหลือง แสดและแดงสลับกับก้อนเมฆรูปร่างต่าง ๆ ดูสวยงาม การถ่ายภาพทิวทัศน์นิยมเปิด ช่องรับแสงให้แคบเพื่อช่วยให้ภาพมีความคมและชัดลึกตลอด แม้บางครั้งจะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ นอกจากเลนส์ ธรรมดาติดกล้องแล้ว ควรมีเลนส์มุมกว้างและเลนส์ถ่ายภาพไกลที่มีขนาดความยาวโฟกัสประมาณ 105 มม. หรือ 250 มม. เพื่อช่วยให้ได้ภาพที่มีมุมแปลกตา ดีขึ้น ถ้าเป็นการถ่ายภาพขาว – ดำ ควรมีแผ่นกรองแสงสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดงติดไปด้วย เพราะฟิลเตอร์สีดังกล่าวจะช่วยให้ภาพขาว – ดำ มองเห็นก้อนเมฆขาว ตัดกับท้องฟ้า ส่วนการถ่ายภาพสีก็ควรมีแผ่นกรองแสงตัดหมอกหรือแผ่นกรองแสงโพลาไรซ์เป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นกรองแสงสำหรับเปลี่ยนแปลง สีของภาพเพื่อให้ได้ภาพทิวทัศน์ที่มีสีสันสวยงามแปลกตายิ่งขึ้น

การถ่ายภาพบุคคล 
    การถ่ายภาพที่เน้นบุคคล นิยมตั้งรูรับแสงให้กว้างหรือก็คือการตั้ง ต่ำๆ เพื่อให้ฉากหลังเบลอ ที่เรียกกันว่า ฉากหลังละลาย การตั้งรูรับแสงให้กว้างสุดได้เท่าใดขึ้นกับคุณภาพของเลนส์เป็นสำคัญ เลนส์ที่มีราคาสูงมักมี ที่ต่ำกว่านั่นหมายถึงสามารถถ่ายฉากหลังให้ละลายได้มากกว่า เลนส์ที่นิยมได้แก่เลนส์ f 2.8 อีกประการนึงการที่รูรับแสงกว้างจะทำให้ความเร็วชัตเตอร์เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้าตั้งโหมด AUTO หรือโหมด ในกล้องทั่วไป การที่ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มขึ้นทำให้ภาพไม่สั่น เมื่อขยายดูใกล้ๆจะเห็นความคมชัดของภาพ สูงกว่าภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ที่มีราคาต่ำกว่า การถ่ายภาพบุคคล สามารถแบ่งได้เป็น
-การถ่ายรูปเหตุการณ์ เป็นการถ่ายรูปโดยที่ได้มีการจัดรูปแบบก่อน
-การถ่ายรูปจัดรูปแบบ



    การถ่ายภาพแสงน้อย
    ควรใช้แฟลชตามความเหมาะสม เช่น ใช้แฟลชน้อยๆ เบาๆ สำหรับแสงไม่พอเพียงเล็กน้อยหรือต้องการให้เห็นความชัดลึกด้วย หรือไม่ก็กระแทกแฟลชเข้าไปแรงๆ ตรงๆเลย ถ้าต้องการถ่ายแค่จุดใกล้ๆ ไม่เกิน เมตรให้ชัดเพียงแค่จุดนั้น แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลัง จะไม่สามารถมองเห็นเลย
    ในกรณีที่ใช้แฟลชไม่ได้ สามารถกระทำได้ แบ่งออกเป็น ลักษณะคือเคลื่อนไหว กับ อยู่นิ่ง
    หากภาพกำลังเคลื่อนไหวนั้น ให้เพิ่มค่า ISO (ยิ่งสูงมาก ยิ่งสว่างแต่ต้องแลกกับความคมชัด จะน้อยลงมา )ตามด้วยเปิดรูรับแสงให้กว้างที่สุดของเลนส์นั้นๆ (น้อยๆ) แล้วใช้สปีดชัดเตอร์ให้น้อยที่สุด เท่าที่จะถ่ายวัตถุนั้นให้อยู่ในสภาวะหยุดนิ่งได้ ถ้าความไวชัดเตอร์น้อยเกินไป(ไวเกิน) ภาพจะมืด หรือถ้ามากเกินไป(นานเกิน) ภาพจะมีเงาซ้อน ต้องกะให้พอดี แต่ถ้าเป็นวัตถุอยู่นิ่ง ให้ปรับค่า ISO ไปที่กลางๆ ตามด้วยเปิดรูรับแสงให้มากที่สุดเช่นกัน แล้ว ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้มีความนานขึ้น ยิ่งนานมากเท่าไร ภาพก็จะยิ่งสว่างมากเท่านั้น การถ่ายภาพแบบนี้ ควรพึ่งขาตั้งกล้อง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    ถ้าอยากให้ภาพมีความคมชัด ให้ใช้ ISO ค่อนข้างน้อย แต่ภาพจะมืดลงตามไป วิธีแก้คือ ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้นานขึ้นไปอีก
    การถ่ายภาพเคลื่อนไหวกลางคืน ถ่ายให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอแล้ว ถ้าไม่ต้องการรายละเอียด


            th.wikibooks.org

    การถ่ายภาพระยะใกล้

    การถ่ายภาพระยะใกล้


    เน้นรายละเอียด หรือการถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็ก สามารถถ่ายโดยใช้ฟิลเตอร์ Close up ซึ่งมีลักษณะเป็นเลนส์ขยาย จำหน่ายเป็นชุด ๆ ละ 3 อัน สามารถต่อกันได้ แต่ต้องระวังในการถ่ายเพราะ ภาพจะชัดเฉพาะ ตรงกลางภาพ ส่วนด้านขอบของภาพจะไม่ชัดเพราะความโค้งของเลนส์ ยิ่งใช้ฟิลเตอร์หลายตัวยิ่งลดความคมชัดของภาพลง ถ้าต้องการคุณภาพดี ควรใช้เลนส์มาโคร หรือเลนส์ถ่ายใกล้ จะให้รายละเอียดของภาพมากยิ่งขึ้น การถ่ายภาพต้องระวังอย่าให้สั่นไหวเด็ดขาด ควรใช้ขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์เข้าช่วย หรือพยายามใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูง จะช่วยได้มาก

    ที่มา : /th.wikibooks.org

    การถ่ายภาพเพื่อเน้นระยะชัด

    การถ่ายภาพเพื่อเน้นระยะชัด

              ผู้ถ่ายภาพควรต้องทำความเข้าใจในการกำหนดค่าของรูรับแสงของเลนส์ เพื่อให้ได้ภาพตามต้องการ ค่าของรูรับแสง จะมีตั้งแต่กว้างสุด คือ 1.2, 4, 5.6, 8, 11, 16 และ 22 ค่าตัวเลขยิ่งน้อยรูรับแสงยิ่งกว้าง ระยะชัด ของภาพจะสั้นลง หรือที่เรียกว่า ชัดตื้น ค่าของตัวเลขยิ่งมาก รูรับแสงจะแคบลง ยิ่งแคบมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ภาพ เกิด ระยะชัดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น 

    ที่มา : https://th.wikibooks.org/

    การถ่ายภาพย้อนแสง

    การถ่ายภาพย้อนแสง

             การถ่ายภาพย้อนแสงจะไม่เห็นรายละเอียดของวัตถุ ควรถ่ายในช่วงเช้า หรือช่วงเย็น แสงแดดเริ่มอ่อน อย่าวัดแสงกับดวงอาทิตย์ตรง ๆ ควรวัดแสงที่ท้องฟ้า เฉียง 45 องศา กับดวงอาทิตย์ และลดรูรับแสงให้แคบลง 2-4 Stop หรือถ้าเป็นเวลาเย็นมาก สามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าได้ ก็วัดแสงที่ดวงอาทิตย์ได้เลย การถ่ายภาพประเภทนี้ต้องระวังเรื่องฉากหน้าและฉากหลังด้วย เพราะจะทำให้รบกวนภาพทำให้ภาพดูรกตา

    วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

    รสนิยมของผู้ชายเเละผู้หญิง

    10 นิสัยของผู้ชาย ที่ผู้หญิงต้องยอมรับ!
    1. เขาจะโกหกคุณ
    อย่าเพิ่งกรี๊ด ไม่ใช่เรื่องเรื่องโกหกใหญ่โตที่รับไม่ได้หรอก แต่เป็นการโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จริง ๆ ก็มีจุดประสงค์ของมันนะ หลัก ๆ ก็เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง และทำให้เขาไม่ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้าคุณถามเขาว่าชุดนี้สวยไหม หรือเขาไปจ่ายบิลค่าไฟฟ้าหรือยัง หรือเขาอยากเจอพ่อแม่ของคุณหรือเปล่า เขาก็จะตอบรับอย่างหนักแน่นเสมอไป ถึงแม่เขาจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ตามที ทำไมน่ะหรือ อ้าว ก็การตอบอย่างอื่นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้ไม่ใช่หรือล่ะ
    2. เขาจะแอบมองผู้หญิงอื่นเสมอ
    คุณอาจคิดว่าคุณเป็นสาวคนเดียวที่เขามีสายตาไว้จับจ้อง แต่รับประกันได้เลยว่าเขาต้องแอบมองผู้หญิงอื่นอย่างน้อยก็วันละไม่ต่ำกว่า 10 คนหรอก บางคนอาจทำให้เขาอดคิดไม่ได้ด้วยว่า ถ้าได้แอ้มสักทีจะเป็นยังไงบ้างน้า แต่อย่าเพิ่งสติแตกไปเลย ในท้ายที่สุดเขาก็จะตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่เขามีอยู่นั้นดีที่สุดแล้ว และผู้หญิงอื่นก็อาจจะน่าเบื่อได้เช่นกัน
    3. เขาจะพูดถึงคุณเสมอ
    คิดว่าเรื่องตลก ๆ น่าอายระหว่างคุณกับเขาจะรู้กันอยู่แค่สองคนเหรอ? ไม่มีทางอ่ะ ไม่ว่าคุณจะกำชับแค่ไหนว่า อย่าบอกใครเรื่องนี้นะมันก็จะเป็นเรื่องแรกที่เขาเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเวลากินเหล้ากันเสมอ แหม เขาก็แค่อยากเช็คว่าเรื่องแบบนี้มันปกติหรือเปล่า แล้วก็หาเรื่องหัวเราะคุณนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นแหละ
    4. เขาจะไม่มีวันใส่ใจเรื่องแต่งตัวได้มากเท่าคุณ
    ผู้ชายทั้งแท่งส่วนใหญ่แคร์เรื่องแฟชั่นเลยจริง ๆ นะ เขาก็อยากดูดีเหมือนกัน แต่การช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับผู้ชายเท่าไหร่ ทำให้เขาพลอยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการแต่งตัวตามไปด้วย ถ้าคุณอยากให้เขาแต่งตัวดีขึ้นก็ได้เลย ซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ที่คุณอยากให้เขาใส่มาให้ได้เลย แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะพยายามแต่งตัวให้ดีขึ้นด้วยตัวเองเพื่อคุณเลย
    5. เขาจะไม่มีวันหยุดดูกีฬา
    ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบดูกีฬา และในขณะที่เขาเข้าใจดีว่าคงได้ดูน้อยลงถ้าเกิดอยู่บ้านเดียวกับคุณแล้ว แต่ก็อย่าได้หวังเชียวว่าเขาจะเลิกโดยเด็ดขาด ถ้าคุณไม่ให้เขาดูในบ้าน เขาก็จะไปหาดูที่อื่น อย่างเช่น ตามผับหรือบาร์ที่มีให้ดู แล้วก็อย่าบ่นล่ะถ้าเขาจะขอครองจอทีวีในช่วงฟุตบอลโลก ก็แหม สี่ปีมีหนเดียวเองนะ
    6. เขาจะไม่พูดถึงความรู้สึกตัวเองแน่นอน
    ในขณะที่ผู้หญิงอยากจะพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง สำหรับผู้ชายแล้ว มันเป็นเรื่องทรมานใจมาก เขาก็รู้ดีอยู่หรอกว่ามันมีประโยชน์ในการเปิดใจกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชอบด้วยนี่นา
    7. เขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องรอคุณแต่งตัวนาน ๆ
    ถึงแม้เขาจะอยู่กับคุณนานแค่ไหน หรืออยู่ในบ้านที่มีพี่น้องผู้หญิงหลายคน และเจอเรื่องนี้มามากแค่ไหน ก็อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะทำใจได้ ต่อให้เขาไม่แสดงออกก็รู้เถอะว่าเขาแอบหงุดหงิด
    8. ทัศนคติเรื่องเซ็กส์ของเขาแตกต่างกับคุณเสมอ
    ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดเรื่องเซ็กส์ในแบบที่แตกต่างกับผู้ชาย ในขณะที่คุณให้คุณค่ากับร่างกายของคุณ และต้องการความรู้สึกสนิทเสน่หากันก่อนที่จะมีเซ็กส์กับใครสักคน ผู้ชายจะสามารถมีเซ็กส์ตอนไหนก็ได้!
    9. เขาจะไม่มีวันสื่อสารได้ดีเท่าคุณ
    ขณะที่ผู้หญิงขยันส่งการ์ดขอบคุณ การ์ดวันเกิด การ์ดปีใหม่ สารพัดการ์ดทุกเทศกาล รวมถึงเขียนอีเมล โทรศัพท์คุยกับคนโน้นคนนี้ ผู้ชายจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกรู้ไว้เถอะ โดยเฉพาะเรื่องเขียนเนี่ยแหละ
    10. เขาจะไม่มีวันบอกว่าคุณอ้วนขึ้น

    ถึงแม้คุณจะไม่คิดรีรอที่จะชี้ไปที่พุงของเขาและบอกว่า ต้องลดแล้วนะแต่ผู้ชายจะไม่มีวันยกเรื่องเซลลูไลต์ที่ต้นขาของคุณขึ้นมาพูดเด็ดขาด เขาไม่ได้แคร์มันขนาดนั้นหรอก และตอนที่ได้เห็นมัน เขาก็ได้แอ้มคุณอยู่ เรื่องอื่นสำคัญกว่าเยอะ